วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ทำให้ทักษิณจะต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท จากกรณีการขายหุ้นชินฯ ระบุถึงพยาน หลักฐาน ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง ชัดเจน
ทำให้เกิดขบวนการบิดเบือน แหกตา ปั่นกระแส สร้างวาทกรรม
หวังให้ประชาชนบางส่วนที่อ่านหนังสือน้อย ไม่ทราบข้อมูลความจริงของเรื่องราว หลงเชื่อไปตามกระแสปั่นอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อวานนี้ ได้สรุปคำพิพากษาศาลฎีกา ตั้งแต่ที่มาเรื่องราว จนถึงว่าทำไมกระบวนการประเมินภาษี เรียกเก็บภาษีจากทักษิณ จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่เกินกรอบเวลา ไม่ต้องเรียกซ้ำอย่างไรแล้ว
ประเด็นสำคัญที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ได้วินิจฉัยชี้ขาดด้วย มีดังนี้
1. ทักษิณเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน และต้องรับผิดชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือไม่
กรณีทักษิณขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) แก่บริษัทแอมเพิล ริชอินเวสท์เม้นท์ จํากัด โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทแอมเพิล ริชอินเวสท์เม้นท์ จํากัด
บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ไม่ได้ถือหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด(มหาชน) ไว้แทนโจทก์
การที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือได้ว่ามีนิติกรรมการซื้อขายหุ้นโดยชอบ
เมื่อเป็นการขายต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันควร นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาได้รับประโยชน์ และเมื่อนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน
ประเด็นนี้ ฝ่ายทักษิณอ้างว่า ก็ในเมื่อบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ไว้แทนทักษิณ การโอนหุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นเพียงการโอนกันระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นไว้แทนทักษิณ ดังนั้น ผลเท่ากับเป็นการโอนจากผู้โอน คือ โจทก์ ไปยังผู้รับโอน คือ โจทก์ เมื่อผู้โอนกับผู้รับโอนเป็นบุคคลเดียวกันที่มีทรัพย์สินที่โอน คือ หุ้นจํานวนเดียวกัน ย่อมถือว่าไม่มีนิติกรรมใดๆ เกิดขึ้นตามกฎหมาย จึงย่อมไม่มีเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เกิดการเปลี่ยนมือ จากผู้โอนไปยังผู้รับโอนไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดๆ จากธุรกรรมดังกล่าว จึงไม่ถือว่ามีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้น
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ชี้ว่า
พฤติการณ์ของโจทก์ (ทักษิณ) ในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของสรรพากร และสรรพากรมีสิทธิบังคับโจทก์ผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะตัวแทนทําขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 820
ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า การโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด(มหาชน) ระหว่างบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา มิได้ก่อให้เกิดนิติกรรม ทําให้ไม่มีเงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคิดคํานวณเป็นเงินได้นั้น เห็นว่า แม้รัฐจัดเก็บภาษีอากรจากบุคคลธรรมดาหรือบริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้มีเงินได้เพื่อนํามาเป็นรายได้ใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกันกฎหมายภาษีอากรก็เปิดโอกาสให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์ทางด้านภาษีเพื่อวางแผนให้ผู้มีเงินได้ได้สิทธิประโยชน์หรือลดภาระทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีสําหรับเงินได้บางประเภท การใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายและการใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้มีเงินได้
อย่างไรก็ตาม รัฐจะจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมตามเจตนาที่คู่ความแสดงออกมา การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้การกระทําที่ถูกต้องตามตัวบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร มิใช่การใช้สิทธิประโยชน์ด้วยวิธีการวางแผนทำธุรกรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตน แต่เมื่อธุรกรรมดังกล่าวที่มีภาระภาษีนั้นไม่บรรลุผลก็กลับมาอ้างว่าไม่เคยมีธุรกรรมเช่นนั้นมาก่อน เพื่อให้ตนพ้นจากภาระทางภาษี ดังเช่นคดีนี้ โจทก์เพียงต้องการบริหารจัดการทรัพย์สินของโจทก์ ในขณะที่โจทก์เข้าดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่มีกฎหมายห้ามการถือครองหุ้น ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีส่วนได้เสียในกิจการของรัฐ จึงทําการบริหารจัดการ ทรัพย์สินด้วยการโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ให้เครือญาติของโจทก์ และจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ของโจทก์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างประเทศขึ้นมา โดยโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวจํานวน 1 หุ้นในช่วงที่โจทก์กําลังจะดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี วาระที่ 1
ต่อมา โจทก์ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) แก่บริษัทแอมเพิล ริชอินเวสท์เม้นท์ จํากัด
จากนั้น โจทก์โอนหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ที่โจทก์มีจํานวน 1 หุ้น แก่นายพานทองแท้ บุตรชาย และภายหลังมีการเรียก ชําระค่าหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น โดยนายพานทองแท้ซื้อเพิ่ม 3 หุ้น และนางสาวพินทองทา บุตรสาวโจทก์ซื้อ 1 หุ้น รวมแล้วทั้งบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด มีหุ้นเพียง 5 หุ้น ซึ่งเป็นของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา
ดังจะเห็นได้ว่าโจทก์ทําธุรกรรม ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หลายธุรกรรม ได้แก่
ธุรกรรมแรก คือ วันที่ 11 มิถุนายน 2542 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์จํากัด ที่มีโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) จํานวน 32,920,000 หุ้น จากตัวโจทก์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในทางภาษีอากร หากโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงโจทก์จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 พ.ศ. 2509 ข้อ 2 (23)
ธุรกรรมต่อมา ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทในคดีนี้ คือ วันที่ 23 มกราคม 2549 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งโดยปกติบริษัทต้องประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกําไรทั่วไปมาแบ่งปันกันระหว่างผู้ถือหุ้น แต่กลับปรากฏว่าบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หลังจากเพิ่มทุนแล้วจํานวน 329,200,000 หุ้น แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ในราคาหุ้นละ 1 บาท ทั้งที่ในเวลานั้น กระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซื้อขายหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท
แสดงให้เห็นว่า โจทก์มิได้จัดตั้งบริษัทนิติบุคคลต่างประเทศเพื่อประกอบธุรกิจด้านการลงทุนและหากําไรเฉกเช่นบริษัททั่วไป แต่จัดตั้งนิติบุคคลดังกล่าวเพื่อวางแผนทําธุรกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน ในเครือญาติและยังต้องการประโยชน์ทางภาษีแก่ตน
นอกจากนี้ ธุรกรรมสุดท้ายที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็ก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งในทางภาษีอากรหากนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง ย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อถือว่าโจทก์ โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ได้รับประโยชน์จากการซื้อหุ้นจากบริษัทที่ตนเองเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นทั้งหมด ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึงกว่าสี่สิบเท่าโดย ไม่มีเหตุอันควร
และในวันเดียวกัน นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ตัวแทนโจทก์ ขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท จึงก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินตามความหมาย ในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40 (2) ที่โจทก์ตัวการไม่เปิดเผยชื่อต้องรับ เป็นเงินได้พึงประเมินของตนตั้งแต่วันที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์จํากัด ขายหุ้นแก่ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ และมีการขายต่อแก่กลุ่มเทมาเส็ก เพราะหากไม่ถือตามนิยามที่กฎหมายกําหนดความหมายไว้ และยอมให้โจทก์อ้างว่าไม่เคยมีธุรกรรมเช่นนั้นมาก่อนเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษี
กรณีที่บุคคลธรรมดาที่ซื้อหุ้นหรือสินค้าจากบริษัทต่างประเทศในราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันควร แล้วนํามาขายต่อซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็จะสามารถวางแผนบริหารจัดการภาษีโดยหลบเลี่ยงประมวลรัษฎากรมาตรา 39 ด้วยการอ้างว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเป็นตัวแทนของบุคคลคนเดียวกันทําให้ไม่มีธุรกรรมที่ก่อให้เกิดเงินได้ได้โดยง่าย อันเป็น
ข้ออ้างเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย
อีกทั้ง หากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นแก่กลุ่มเทมาเส็กโดยตรง ในราคา 49.25 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาด บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย อาจถูกผู้จ่ายหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินได้พึงประเมิน คือ กําไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 โจทก์จึงวางแผนทําธุรกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อที่จะไม่ต้องถูกรัฐจัดเก็บภาษีด้วย
ดังนั้น ธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือ จากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ ทั้งเป็นธุรกรรมที่ทําขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง หากเมื่อรัฐตรวจพบแล้วยอมให้ผู้กระทํามาอ้างภายหลังว่าธุรกรรมนั้นไม่มีอยู่จริงหรือไม่ต้องรับผลของการทําธุรกรรมนั้นเพื่อประโยชน์ทางภาษี หรือเพื่อขอคืนภาษีได้ย่อมจะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดเก็บภาษี และไม่ควรให้พฤติกรรมที่กระทําเพื่อการอันมิชอบของผู้มีอํานาจในการบริหารประเทศมาเป็นแบบอย่างของสังคม ใช้นํามาอ้างเพื่อประโยชน์ทางภาษีส่วนตนเช่นนี้ได้ ประกอบกับธุรกรรมต่างๆเหล่านั้น ก็ยังไม่เคยถูกเพิกถอนจนหุ้นกลับมาเป็นชื่อของโจทก์แต่อย่างใด
ข้ออ้างดังกล่าว ในทางกฎหมายภาษีอากร จึงไม่สามารถยอมรับได้
นอกจากนี้ ยังไม่เป็นธรรมแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นๆ ที่ประกอบกิจการ เพื่อหวังผลกําไรทางธุรกิจและซื้อขายอย่างตรงไปตรงมาแต่ต้องเสียภาษี
พยานหลักฐานจําเลยทั้งสี่มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนํามารวมคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจําปี 2549 จากการที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และเป็นตัวแทนของโจทก์ในราคา
ต่ำกว่า ราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันควร และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ราคาหุ้นละ 49.25 บาท
อันถือเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และเป็นตัวแทนโจทก์ ได้รับ ซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40 (2)
คือ ราคาส่วนต่างของราคาตลาดของกระดานซื้อหุ้นรายใหญ่ของหุ้นกับราคาที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นแก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา จํานวน 329,200,000 หุ้น
เป็นเงินหุ้นละ 49.25 ลบ 1 บาท
เท่ากับ 48.25 บาท
คิดเป็นเงินได้พึงประเมิน 15,883,900,000 บาท
2. มีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือไม่ ?
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ซึ่งทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตาม เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทําขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง
กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
จึงเป็นที่มาของตัวเลขภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด 1.76 หมื่นล้านบาท นั่นเอง
สารส้ม

‘สธ.’ส่งยาเวชภัณฑ์ ชุดยาสามัญประจำบ้าน 15,000 ชุด ช่วยเหลือประชาชนพื้นที่น้ำท่วม
‘ชัยภูมิ’รวมใจ! พอ.สว.ลำดับ46 ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่‘พระพันปีหลวง’
‘สืบปัว’รวบคากุฏิ-จับสึกพระเสพยาบ้า
สมเด็จเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ทรงเปิดงาน 'Kraam International Symposium 2025'
‘ททท.ระยอง’เร่งเครื่องลุย 5 โครงการ ดันยอดนักท่องเที่ยว 6.5 ล้านปลายปีนี้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี