วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เป็นที่รู้และยอมรับกันว่า ผู้คนที่พูดภาษาไทยแต่เดิมนั้นมีรกรากอยู่ที่ทางตอนใต้ของจีน และทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (ซึ่งอยู่ติดกับจีน) โดยชาวฮั่นที่พูดภาษาจีน กับกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยที่อยู่ใกล้กัน ก็มีการข้องแวะกันมาโดยตลอด จนเมื่อกลุ่มชนที่พูดภาษาไทยเคลื่อนย้ายจากเหนือลงมายังทิศใต้ แล้วเริ่มตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำสาละวินแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำโขงก่อตัวเป็นอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี-รัตนโกสินทร์ ต่างก็มีความสัมพันธ์ที่สมัยนี้เรียกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมาโดยตลอด ในลักษณะของความสัมพันธ์เป็นแบบบรรณาการ คือฝ่ายอาณาจักรไทยดังกล่าวให้การยอมรับความยิ่งใหญ่ของจีนโดยการจัดส่งเครื่องบรรณาการ และได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองจีนให้สามารถทำมาค้าขายกันได้ โดยการค้าขายก็กระทำกันทางทะเล
ในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19จีนตกอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง คือตกอยู่ในสภาวะของการชิงอำนาจ อยู่ในสภาวะของสงครามกลางเมือง โดยชาวจีนจำนวนหนึ่งก็เริ่มอพยพมาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแหลมทองดินแดนสุวรรณภูมิ
เมื่อปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454)ได้เกิดการปฏิวัติสังคมที่ประเทศจีนนำโดย ดร.ซุน ยัตเซ็น ทำการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้จีนก็กลายมาเป็นสาธารณรัฐ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่ทว่า ดร.ซุน ยัตเซ็น เสียชีวิตเมื่ออายุยังไม่มาก ส่งผลให้จีนขาดผู้นำที่จะประสานยึดโยงสังคมจีนให้อยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จึงเกิดการแตกแยกและชิงอำนาจกันอย่างใหญ่หลวงบ้านเมืองระส่ำระสาย ซึ่งในที่สุดก็เหลือผู้ท้าชิงอำนาจรัฐอยู่เพียง 2 กลุ่ม คือฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ที่นำโดยเหมา เจ๋อตุง และกลุ่มรักชาติ (Nationalist) ในนามของพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ที่นำโดยนายพลเจียง ไคเชก โดยช่วงหนึ่งต่างก็ได้ร่วมกันต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น จนเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2ทั้งสองฝ่ายก็หันกลับมาประหัตประหารกันอีก จนในที่สุดฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ได้ไล่ตีพรรคก๊กมินตั๋งจนตกทะเล หนีไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวันจนทุกวันนี้
ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ในนามของรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งของไต้หวัน ซึ่งในขณะเดียวกันไทยกับจีนคอมมิวนิสต์บนผืนแผ่นดินใหญ่ก็มีสถานะเป็นศัตรูกัน โดยฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ได้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในการล้มล้างราชอาณาจักรไทย จนเมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับความสัมพันธ์กับจีนคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็เริ่มปรับกระบวนยุทธ์ไปตามนั้นรวมทั้งไทย นั่นคือตัดความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนที่เกาะไต้หวัน และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ดังนั้น ปี 2568 นี้ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ก็ครบรอบ50 ปีพอดี และเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์นี้ทางฝ่ายรัฐบาลจีนก็ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระราชินี ให้เสด็จฯเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 13 -17 พฤศจิกายน 2568 เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง
วาระที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศครบรอบ 50 ปี
ในสภาพการณ์นี้ถ้าใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษก็อาจจะพูดว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนได้เวียนมาบรรจบครบรอบวงกลม (Has come around the full circle)คือเคลื่อนตัวและปรับเปลี่ยนจากการเป็นศัตรูทางอุดมการณ์และเผชิญหน้ากันเมื่อก่อน 50 ปีที่แล้ว ก็มาถึงบัดนี้ได้กลับกลายมาเป็นมิตรสนิทชิดเชื้อที่เป็นที่ประจักษ์ด้วยการเสด็จเยือนประเทศจีนดังกล่าว ซึ่งแสดงความสนิทชิดเชื้อด้วยมิตรไมตรีที่ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพต่อกันและกัน ที่แม้ว่าระบบระบอบการเมืองการปกครองของทั้ง 2 ประเทศจะมีความแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างนั้นมิได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์แต่อย่างใด ความต่างมิได้ป้องกันการเสริมสร้างซึ่งความสนิทชิดเชื้อและการร่วมกันทำประโยชน์ให้กับการเจริญก้าวหน้าของทั้งสองฝ่าย และการช่วยกันเสริมสร้างสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งให้กับภูมิภาคทั้งในแถบลุ่มแม่น้ำโขง และในแถบทะเลจีนตอนใต้
ไทยและจีนนั้นอยู่ในฐานะที่จะร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยไม่กระทบกระเทือนหรือคุกคามฝ่ายอื่นๆ แต่อย่างใด และในขณะเดียวกันฝ่ายไทยก็สามารถที่จะมีมิตรไมตรีกับประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆ ที่ไม่คุกคามประเทศจีนแต่อย่างใดได้เช่นกัน และไทยก็ยังจะสามารถเป็นสะพานเชื่อมโยงให้ประเทศต่างๆ ที่ยังมีความเห็นต่างและไม่ไว้วางใจกัน ให้หันหน้าเข้ามา “จับเข่าคุยกัน” และในการนี้ไทยก็อยู่ในฐานะที่จะชักชวนประเทศเพื่อนสมาชิกประชาคมอาเซียนให้รวมตัว มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพและความมั่งมีศรีสุข โดยเป็นมิตรกับทุกฝ่ายและไม่เป็นศัตรูกับผู้ใด
50 ปีต่อจากนี้ไปก็จะเป็นความสัมพันธ์แบบฉันพี่ฉันน้องในรอบใหม่ ในยุคดิจิทัล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

‘สธ.’ส่งยาเวชภัณฑ์ ชุดยาสามัญประจำบ้าน 15,000 ชุด ช่วยเหลือประชาชนพื้นที่น้ำท่วม
‘ชัยภูมิ’รวมใจ! พอ.สว.ลำดับ46 ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่‘พระพันปีหลวง’
‘สืบปัว’รวบคากุฏิ-จับสึกพระเสพยาบ้า
สมเด็จเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ทรงเปิดงาน 'Kraam International Symposium 2025'
‘ททท.ระยอง’เร่งเครื่องลุย 5 โครงการ ดันยอดนักท่องเที่ยว 6.5 ล้านปลายปีนี้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี