วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ราชอาณาจักรไทย ไฟเขียวให้กองทัพเริ่มปฏิบัติการทางทหาร เพื่อปกป้องอธิปไตย และต่อสู้กับภัยคุกคามชายแดนแล้ว
1. ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.มีมติเห็นชอบ โดยสรุป ดังนี้
-ระงับ Joint Declaration
-ยุติการส่งเชลยศึก
-กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษร
-การเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่อธิปไตยไทยดำเนินการต่อฝ่ายเดียว เพราะเป็นความปลอดภัยของประชาชนไทย
-ส่งหนังสือชี้แจงไปยังสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย
-ถ้าจะให้การปฏิบัติตาม Joint Declaration กลับไปสู่แนวทางที่ควรจะเป็น กัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบ
-ไฟเขียวการปฏิบัติทางทหาร ตามกฎการใช้กำลัง
ย้ำ ไฟเขียวการปฏิบัติทางทหาร
รายละเอียดของปฏิบัติการทหารนั้น เป็นเรื่องของกองทัพ จะต้องดำเนินการตามแผนยุทธการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเปิดเผยความลับทางการทหารกันหลังจากนี้
แต่พูดง่ายๆ คือ พร้อมรบ พร้อมปะทะ พร้อมลุย ตามแผนยุทธการว่าจะเริ่มตรงไหน เมื่อไหร่ วัน ว เวลา น
2. พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงจุดยืนของกองทัพบกว่า
“ความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่า ท่าทีแห่งความเป็นปรปักษ์ยังคงอยู่
กองทัพบกจำเป็นต้องยุติทุกข้อตกลง เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเองจากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม” - ผบ.ทบ.กล่าว
กองทัพบกย้ำว่า เหตุการณ์ที่กำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณชายแดน ได้พิสูจน์ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นการลักลอบเข้ามาวางระเบิดใหม่ ในเขตแดนไทย
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า แม้ว่าในกรณีดังกล่าวทางกัมพูชาจะได้ออกมาระบุว่าเป็นทุ่นระเบิดเก่าจากสงครามในอดีต แต่ผลจากการตรวจพิสูจน์หลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่เขตไทย และยังมีการตรวจพบทุ่นระเบิดอีกจำนวน 3 ทุ่น ในบริเวณใกล้เคียง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาขาดความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกันไว้ และละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ส่งผลให้กระบวนการขับเคลื่อนสันติภาพระหว่างประเทศต้องยุติลงกลางคัน
พลตรีวินธัย กล่าวต่อว่า
“กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังพลปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบนเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง ก่อนจะถอนกำลังออกไปภายหลังเหตุปะทะที่ผ่านมา โดยหลังจากทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปแล้ว ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 2568 พร้อมทั้งได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างทุ่นระเบิด วางเครื่องกีดขวางลวดหนาม และลาดตระเวนเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2568 ตรวจพบว่าแนวลวดหนามที่วางไว้ถูกลักลอบเข้ามารื้อถอนจากนั้นในวันที่ 10 พ.ย. 2568 เวลาประมาณ 08.30 น. หน่วยในพื้นที่จึงได้จัดกำลังชุดลาดตระเวนร่วมกับชุดทหารช่าง เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณแนวลวดหนามที่ถูกรื้อถอนจนเกิดเหตุกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นาย (ขาขาด 1 นาย)
หลังจากเกิดเหตุ เวลาประมาณ 15.50 น. หน่วยในพื้นที่ได้จัดกำลังร่วมกับชุดตรวจค้น นปท.3 ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บึงมะลู เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยตรวจพบรายละเอียด
1. หลุมระเบิดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 55 ซม. ลึก 18 ซม. จำนวน 1 หลุม
2. ชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่ภายในหลุมและพื้นที่ใกล้เคียง
3. ทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมจำนวน 3 ทุ่น โดยแต่ละทุ่นวางห่างจากหลุมระเบิดประมาณ 1 เมตร
จากหลักฐานที่ปรากฏ จึงสรุปได้ว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นการลักลอบรื้อถอนลวดหนามและเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย โดยมีเป้าหมายคือกำลังพลที่ลาดตระเวนเส้นทางอยู่เป็นประจำ การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความไม่จริงใจในการลดความขัดแย้งของฝ่ายกัมพูชา และสะท้อนถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างกัน ซึ่งขัดต่อปฏิญญาร่วมที่ได้ลงนามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อท่าทีของฝ่ายไทยและข้อตกลงต่างๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
ทั้งนี้ ในด้านการปฏิบัติการทางทหาร กองทัพบกยืนยันในความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการปกป้องอธิปไตยตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ และข้อสั่งการของกระทรวงกลาโหม เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเอง จากการกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
2. นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล มีข้อสั่งการในที่ประชุม ครม. เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา
แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ชายแดน พร้อมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
กระทรวงกลาโหม : ยุติการดำเนินการตามปฏิญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ก่อน และเพิ่มมาตรการทางทหารอย่างเข้มงวด
กระทรวงการต่างประเทศ : ดำเนินการทักท้วงทางการทูต หากไม่มีการชี้แจงจะพิจารณายกเลิกปฏิญญา พร้อมสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศ
กระทรวงมหาดไทย : ให้ความรู้/เตรียมความพร้อมประชาชนในพื้นที่ชายแดน7 จังหวัด หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษาฯ : จัดซักซ้อมแผนรองรับกรณีเหตุฉุกเฉิน
กระทรวงสาธารณสุข : เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ และแผนรองรับสถานการณ์ที่อาจรุนแรงในพื้นที่เสี่ยง
3. ผู้นำกัมพูชา ไว้ใจไม่ได้จริงๆ
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้นำเสนอข้อคิดข้อเขียนในเฟซบุ๊ก ว่าด้วยเรื่อง “เชื้อเขมรฉ้อฉล (Scambodia Syndrome) : โรคระบาดประชาธิปไตยจำแลงในศตวรรษที่ 21”
เนื้อหาบางส่วน ระบุว่า
“...เมื่อ “ประชาธิปไตย” ถูกแปลงร่างเป็น “ธุรกิจอำนาจ” ที่คนส่วนน้อยได้ประโยชน์ ส่วนคนส่วนใหญ่ได้เพียงภาพลวงตา
อาการของโรค : ประชาธิปไตยที่กลายพันธุ์
เชื้อเขมรฉ้อฉล (Scambodia Syndrome) คืออาการของประเทศที่มีประชาธิปไตยในรูปแบบ แต่เผด็จการในเนื้อหา เป็นการปกครองที่ใช้ประชาธิปไตยเป็น “เครื่องมือ” เพื่อสร้างอำนาจถาวรให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ประชาชนยังไปเลือกตั้ง ยังเชื่อว่าตนมีสิทธิ์ แต่แท้จริง ไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงจริง
ลักษณะร่วมของประเทศที่ติดเชื้อเขมรฉ้อฉล
1. Fake Democracy - มีเลือกตั้งแต่ไร้ความหมาย พรรคการเมืองกลายเป็นบริษัทซื้อเสียง-ขายอำนาจ
2. State Capture - กลไกรัฐถูกใช้ปกป้องพวกพ้อง มากกว่ารับใช้ประชาชน
3. Corruption Culture - การโกงกลายเป็น “บรรทัดฐานใหม่”
4. Crony Capitalism - เศรษฐกิจอยู่ในมือไม่กี่ตระกูล
5. Media Manipulation - ประชาชนถูกป้อนข้อมูลลวงอย่างต่อเนื่อง
6. Youth Disempowerment - คนรุ่นใหม่ถูกปิดปาก ปิดทาง ปิดฝัน
7. Brain & Moral Drain - คนเก่ง คนดี ท้อแท้ และหนีออกจากระบบ
โครงสร้าง “เทา” ที่เร่งให้โรคลุกลาม
เบื้องหลังการระบาดของเชื้อเขมรฉ้อฉล คือ “ระบบเทา” 3 ชั้นที่ทำให้ประเทศไม่สามารถฟื้นคืนได้
1. ทุนเทา (Grey Capital) - เงินนอกระบบ ทุนมืด และทุนสีเทาไหลเข้าสู่การเมือง กลายเป็นแหล่งทุนซื้ออำนาจและความชอบธรรม
2. การเมืองเทา (Grey Politics) - นักการเมืองใช้เงินและอิทธิพลสร้างภาพประชาธิปไตย แต่จริงๆ คือการผูกขาดทางการเมือง
3. ข้าราชการเทา (Grey Bureaucracy) - ระบบราชการที่สมรู้ร่วมคิดกับอำนาจและทุน ผูกขาดการตัดสินใจ และทำให้ “ความดีไร้ที่ยืน”
สามระบบนี้หลอมรวมกันเป็น “โครงสร้างเทาแห่งรัฐ” (Grey State Complex) ซึ่งเป็นสภาวะที่ “ไม่ขาวพอจะโปร่งใส” และ “ไม่ดำพอจะตรวจสอบได้” จึงกลายเป็นสภาวะเหมาะสมให้เชื้อ Scambodia แพร่ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
จุดระบาด: จาก “เสถียรภาพปลอม” สู่ “ประชาธิปไตยจำแลง”
หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงอาการของเชื้อเขมรฉ้อฉล ตั้งแต่รัฐพรรคเดียวที่ดูสงบแต่ไร้เสียง ไปจนถึงประเทศที่มีการเลือกตั้งแต่ผลลัพธ์ถูกล็อกไว้ล่วงหน้า
กัมพูชา - ต้นแบบของ “เสถียรภาพปลอม”
เมียนมา - จากประชาธิปไตยเทียมสู่รัฐทหารเต็มรูปแบบ
ลาว - เสถียรภาพที่แลกกับอธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ฟิลิปปินส์ - ประชาธิปไตยแบบ Reality Show
ไทย - “ระยะติดเชื้อเงียบ” ระบบเลือกตั้งดูดีแต่โครงสร้างอำนาจยังผูกขาด
เชื้อชนิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ในเอเชียเท่านั้น แต่กำลังแพร่ไปทั่วโลกในรูปแบบของ ประชาธิปไตยลวงโลก (Global Pseudo-Democracy)...
...
สรุป: จาก Scam Power สู่ Principled Power
เชื้อเขมรฉ้อฉล (Scambodia Syndrome) คืออาการของอารยธรรมการเมืองที่หลงทาง - ที่เอาความเจริญทางรูปแบบมาบังความเสื่อมทางจิตวิญญาณ
ประเทศที่ติดเชื้อนี้จะค่อยๆ สูญเสียทั้ง
• ศักดิ์ศรีของรัฐ (State Dignity)
• ศรัทธาของประชาชน (Public Trust) และ
• อธิปไตยของชาติ (National Sovereignty)
ทางรอดของโลกศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่ “ประชาธิปไตยจำแลง” หรือ “เสถียรภาพเทียม” แต่คือการกลับไปสู่ความจริง ความดี และความงามของการเมืองในฐานะการรับใช้ส่วนรวม
ไม่ใช่ “Scamocracy” ที่หลอกลวงโลก แต่คือ “Principled Democracy”ที่รักษาโลก...”
4. ด้วยเหตุนี้เอง ทางเดียว คือ ไทยต้องปราบเชื้อร้ายของเขมร
ไม่ใช่เลี้ยงไข้
มิฉะนั้น ไทยเสี่ยงจะติดเชื้อร้ายเสียเอง
เบื้องต้น เข้าเก็บกู้ระเบิดทุกพื้นที่ยุทธศาสตร์ แล้วถ้าถูกขัดขวาง ก็ปฏิบัติการทหาร คืนทุกพื้นที่
ใครเจรจา ก็ต้องเจรจาไป คุยไป จนกว่าเขมรจะยอมตามเงื่อนไข และผลลัพธ์ที่ไทยคิดว่าคุ้มที่จะหยุด เท่านั้น!.
สารส้ม

'Fix it-อาชีวะจิตอาสา'ลุยช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา
มือไวระวัง! ตร.ไซเบอร์ชี้'โพสต์-แชร์คลิป' เต้นโชว์เห็ดหูหนู เข้าข่าย'นำเข้าข้อมูลลามก'คุก5ปี
ดวลเดือด8นัด! โจรทองปลอมบุกชิง2แสน เจ้าของร้านฮึดสู้ คนร้ายหนีไม่รอด...จบชีวิตคาร้าน!
ลุงวัย 57 ปี ยิงเพื่อนบ้านดับ หลังทะเลาะกันเรื่องวัวเหยียบนาข้าว
ด่วน! ครอบครัวขายขนมจีน เสียชีวิตปริศนา 5 ศพ ภายในบ้าน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี