วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558
ก่อนหน้านี้ ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) พิพากษายกฟ้อง
เดิมมีการยื่นขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 จนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้
ล่าสุด มีรายงานว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด (อสส.)ได้มีความเห็นว่า การกระทำของนายทักษิณเป็นความผิดตามฟ้อง เห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาต่อไป
ขั้นตอนต่อไป คำสั่งยื่นอุทธรณ์ของอัยการสูงสุด ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด จะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
1. ขอชื่นชม และสนับสนุนคำสั่งยื่นอุทธรณ์ของอัยการสูงสุด (นายอิทธิพร แก้วทิพย์) เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เดิมที การพิจารณาอุทธรณ์สำนวนคดีนี้ เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุดคนก่อน มีคำสั่งให้นำเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์นี้เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดี ตามมาตรา 112 ของอัยการ (ซึ่งขณะนั้นมีนายอิทธิพร อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ขณะนั้นเป็นรองอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการ พิจารณา)
ครั้งนั้น คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมพิจารณา และมีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์
และส่งให้นายไพรัช อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว แต่จนพ้นวาระตำแหน่งอัยการสูงสุด นายไพรัช ก็ไม่มีความเห็นว่าจะอุทธรณ์คดีนี้หรือไม่
กระทั่งนายอิทธิพร เข้ามารับตำแหน่งอัยการสูงสุด อำนาจการพิจารณายื่นอุทธรณ์คดีจึงเป็นหน้าที่ของนายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน
คำสั่งอุทธรณ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การกลับความเห็นของนายอิทธิพรแต่อย่างใด เพราะสมัยที่นายอิทธิพรนั่งประธานคณะกรรมการพิจารณาคดี มาตรา112 นายอิทธิพร ในฐานะประธานคณะกรรมการ ก็ไม่ได้ลงมติในครั้งนั้น เนื่องจากเป็นมารยาทในฐานะประธานกรรมการ
2. เป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของ อสส. โดยตรง
คณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ที่เคยมีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์นั้น คือคณะกรรมการที่อัยการสูงสุดตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั่วราชอาณาจักร
ประกอบไปด้วย รอง อสส. ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นเลขานุการ โดยตำแหน่ง ส่วนคณะกรรมการ จะมาจากอัยการที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้, อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี และอธิบดีอัยการสำนักงานอาญาอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นสำนักงานที่ต้องรับคดีประเภทนี้โดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนด้วย เนื่องจากบางคดีมีสำนวนที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ตรวจการอัยการบางคน และมีระดับรองอธิบดีอัยการบางสำนักงาน รวมกันกว่า 10 คน (จำนวนไม่แน่นอน) ขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดในขณะนั้นจะตั้งใครขึ้น เป็นกรรมการทำหน้าที่พิจารณาสำนวนคดี มาตรา 112 จากทั่วประเทศ
เรียกว่า คดี มาตรา 112 ทั่วไป จะสั่งฟ้องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดนี้
แต่สำหรับคดีของอดีตนายกฯทักษิณ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์ตามกฎหมาย เป็นของอัยการสูงสุด
ดังนั้น การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี มาตรา 112 จึงเป็นเพียงการกลั่นกรองความเห็นให้อัยการสูงสุด ไม่ใช่การสั่งคดี ต่างจากในชั้นพิจารณาคดีมาตรา 112 ทั่วไป
เพราะฉะนั้น อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน จึงมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรง ในการพิจารณาว่าจะอุทธรณ์ หรือไม่อุทธรณ์
3. อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายอิทธิพร แก้วทิพย์ เริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อ1 ต.ค.ที่ผ่านมา
ท่านเคยออกสารถึงข้าราชการฝ่ายอัยการทั่วประเทศให้ตระหนักถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต รวดเร็ว และเที่ยงธรรม
สารจากอัยการสูงสุด บางส่วน ระบุว่า
“...ขอปฏิญาณว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน สนองพระราชปณิธานตามพระปฐมบรมราชโองการ
การดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดถือเป็นภารกิจที่ทรงเกียรติ ใหญ่หลวง และมีความสำคัญ
กระผมมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม เพื่ออำนวยความยุติธรรม คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของรัฐ อันเป็นภารกิจหลักของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยจะธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม ความสงบเรียบร้อยแก่ประเทศชาติและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม...”
การตัดสินใจยื่นอุทธรณ์คดี 112 ของนายทักษิณ เท่ากับว่า เป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าได้ทำตามถ้อยแถลงของตนเองหรือไม่?
หาก อสส. ไม่อุทธรณ์ ก็เท่ากับคดี ตัดจบตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทันที ซึ่งจะทำให้เสียประโยชน์แห่งความยุติธรรมในคดีสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ
จึงขอชื่นชมในการตัดสินใจ ที่แสดงออกเป็นเบื้องต้นถึงความตั้งใจดีในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านอัยการสูงสุด อิทธิพร แก้วทิพย์
4. คดี 112 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มีประเด็นที่สมควรจะได้ให้ศาลสูงพิจารณาชี้ขาดโดยแท้
คดีนี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบันฯ เมื่อปี 2558
ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ยกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร
ประเด็นมีข้อควรพิจารณา อาทิ
(1) ที่ผ่านมา คดี 112 หลายคดี ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลย ส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด) อัยการจะยื่นอุทธรณ์
ผลคำพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ หลายคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นเอาผิดจำเลยได้
แม้แต่คดีมาตรา 110 คุกคามเสรีภาพพระราชินี ศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกนายเอกชัย หงส์กังวาน 21 ปี และพวกอีกคนละ 16 ปี ซึ่งถ้าหากอัยการไม่อุทธรณ์ก็จะทำให้พวกจำเลยลอยนวลรอดพ้นความผิดไปโดยปริยาย
(2) คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้ ยังมีช่องทางอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิจารณาน้ำหนักของพยานหลักฐานและข้อกฎหมายเพิ่มเติมได้
พิจารณาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีหมายเลขดํา อ.1860/2567 ตามข้อมูลข่าวสารที่สำนักงานศาลยุติธรรมได้เผยแพร่เอกสารข่าวไว้ จะเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ก็เนื่องจากยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
แต่หลักฐานเท่าที่มีในศาลอาญาชั้นต้น ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า คลิปสัมภาษณ์นายทักษิณไม่ได้มีการตัดต่อ เสริมแต่ง หรือบิดเบือน
เพียงแต่การพิจารณาใช้ดุลพินิจตีความคำพูด ทำให้นายทักษิณรอด
ดังนั้น ตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่เดิม เมื่อไปถึงศาลอุทธรณ์ การตีความอาจเปลี่ยนไปได้ ขึ้นกับดุลพินิจของผู้พิพากษา
การอุทธรณ์คดีให้สิ้นกระแสความ เพื่อธำรงความยุติธรรม ปกป้องพระเกียรติยศ และรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันอัยการ จึงเป็นเรื่องที่สังคมจับตามองอยู่
(3) ข้อสังเกตในคำพิพากษาศาลชั้นต้น
- คลิปสัมภาษณ์ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจําเลย โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตํารวจ และพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 แล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคําให้สัมภาษณ์จําเลยจริง “แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจําเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของ จําเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนํามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จําเลย อ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการติดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจําเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่าบุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นจําเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จําเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอหมายวจ.1 และ วจ.2 โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคําฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจําเลย” – คำพิพากษาศาลชั้นต้น
- ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยาน การตีความคำพูดของทักษิณ “…เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคําให้สัมภาษณ์ของจําเลย มิได้ใช้คําว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคําสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคําราชาศัพท์หรือถ้อยคําที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คําสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทน บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคําว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle”และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคําให้สัมภาษณ์ของจําเลย …พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นําสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จําเลยกล่าวข้อความตามคําฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จําเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9…” – คำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีนี้ จึงสมควรที่อัยการสูงสุดจะต้องอุทธรณ์ เพื่อให้สิ้นกระแสความเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
โดยศาลสูงย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ใช้ดุลพินิจพิเคราะห์ ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานประกอบข้อกฎหมายได้ว่า จำเลย คือ นายทักษิณ พูดหมายความถึงใคร?เข้าข่ายความผิดหรือไม่?
จะเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น หรือเห็นต่างอย่างไร?
(4) ในคำพิพากษาของชั้นต้น ยังระบุด้วยว่า “ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ (อัยการ) ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง…”
หากอัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์ โดยปล่อยให้คดีจบลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สถาบันอัยการอาจจะต้องมลทิน มัวหมอง เพราะถูกสังคมครหาว่าช่วยเหลือจำเลยคดี 112 เสียเอง หรือไม่?
ดังนั้น การอุทธรณ์ จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าในเบื้องต้นว่า อัยการทำหน้าที่อย่างเต็มที่
5. อย่างไรก็ตาม สังคมคงต้องติดตามต่อไปว่า การทำหน้าที่อุทธรณ์ของอัยการสูงสุดนั้น สำนวนการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์จะครอบคลุมประเด็นสำคัญแค่ไหนเพียงใด
อัยการสูงสุด มีหน้าที่ต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่และศักดิ์ศรีของอัยการสูงสุด ด้วยการติดตามกำกับบริหารจัดการดูแลให้แน่ใจว่าการอุทธรณ์คดีครั้งนี้ อัยการได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ สมศักดิ์ศรีทนายของแผ่นดินจะยังประโยชน์แก่ความน่าเชื่อถือศรัทธาในสถาบันอัยการอย่างแท้จริง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี