วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่นักการเมืองฝ่ายค้านพยายามโจมตี ตีกันมากที่สุด
สส. พรรคส้ม ศิริกัญญา ถึงขนาดคัดค้านว่า ลงคะแนนให้อนุทินเป็นนายกฯ เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา ไม่ใช่ให้มาทำคนละครึ่ง
1.คนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่พัฒนาต่อยอดขึ้นมาจาก “คนละครึ่ง” ที่ริเริ่มและประสบความสำเร็จในยุครัฐบาลลุงตู่
เมื่อรัฐบาลนำโครงการนี้มาต่อยอดดำเนินการ และยิ่งเมื่อประสบความสำเร็จ ก็เป็นการตอกย้ำความสามารถการบริหารของรัฐบาลลุงตู่ ซึ่งพรรคส้มพยายามบิดเบือนด้อยค่า โจมตี บูลลี่ด้วยวาทกรรมต่างๆ มาโดยตลอด
นอกจากนี้ เมื่อรับความนิยมในปัจจุบัน รัฐบาลน้าหนู อนุทิน ก็ได้รับความนิยมชมชอบไปด้วย
ทำให้พรรคส้มยิ่งดูเสียหมา
2.โครงการคนละครึ่งพลัส หลังเปิดใช้โครงการมา 15 วัน (นับถึงวันที่ 12 พ.ย.) ยอดใช้จ่ายรวมพุ่งกว่า 33,000 ล้านบาท
แบ่งเป็น เงินที่ประชาชนจ่ายประมาณ 17,169.4 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายประมาณ 16,729.2 ล้านบาท
มีผู้ใช้สิทธิสำเร็จแล้วกว่า 19 ล้านคน จากสิทธิที่เปิดไว้ 20 ล้านคน
ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยคึกคัก ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด จับต้องได้จริง
โดยเฉพาะบรรดาร้านค้าเกือบ 9 แสนรายที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นร้านค้าผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยเป็นสำคัญ ต่างก็จะได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อของโครงการนี้ มูลค่ารวมเกือบ 9 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน เมื่อร้านค้าขายของได้มากขึ้น ก็ซื้อวัตถุดิบมากขึ้น เม็ดเงินก็หมุนกระจายในระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างรวดเร็ว
3.คนละครึ่งพลัส เฟส 2
นายกฯ อนุทิน ประกาศชัดว่า คนละครึ่งพลัส เฟส 2 มาแน่ ทันจับจ่ายใช้สอยช่วงปีใหม่
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และออกแบบโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากที่สุด
หลักการสำคัญ คือ ต้องการเก็บตกประชาชนกลุ่มที่อยากเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกแต่เข้าร่วมไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มที่อยู่ตามชายขอบ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเก็บตกในกลุ่มนี้ก่อน
ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อมารองรับการดำเนินการในส่วนนี้ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมด โดยเฉพาะวงเงินสิทธิที่ประชาชนจะได้รับว่าจะเป็นเท่าไรนั้น ต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณจากภาครัฐก่อน
“...กระทรวงการคลังมีหน้าที่เสนอแผนขึ้นไปเท่านั้น สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล หากต้องการให้เดินหน้าต่อเนื่องใน ม.ค. 2569 กระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในเดือน ธ.ค. 2568 นี้
...สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้จ่ายตามระยะเวลาที่กำหนดในโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟสแรกนั้น ก็จะถูกตัดสิทธิ ซึ่งประกาศออกมาแล้วมี 2.39 แสนคน ซึ่งกลุ่มนี้ยังสามารถเข้าร่วมในเฟส 2 ได้ แต่สิทธิประโยชน์ที่จะได้ ก็จะเหมือนกับคนที่เคยเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกมาแล้ว เพราะถือว่ามีการเข้าร่วมโครงการเรียบร้อย แค่ไม่ได้ใช้สิทธิตามเงื่อนไข” ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ
รายงานข่าวระบุว่า อาจเป็นไปได้ว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 รัฐบาลจะเพิ่มวงเงินให้เป็นคนละ 4,000 บาท สำหรับคนที่ยังไม่ได้เข้าโครงการเฟสแรก
ส่วนคนที่เข้าเฟสแรกแล้ว ก็มีโอกาสได้เฟสสองต่อ แต่จะได้เงินอีก 2,000 บาท เป็นต้น
นายลวรณ ย้ำว่า โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ไม่ใช่แค่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของการสร้างองค์ความรู้ การเสริมทักษะ Up-skill/Re-skill ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เพียงแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามนโยบาย Quick-Big-Win ของรัฐบาล
4.คนละครึ่งพลัส การเสริมทักษะ Up-skill/Re-skill พ่อค้าแม่ขาย
นอกจากคนละครึ่งพลัส จะเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค ช่วยให้พ่อค้าแม่ขายที่เข้าโครงการขายของดีขึ้นแล้ว
ล่าสุด รัฐบาลเตรียมจะเสริมทักษะความรู้ให้กับพ่อค้าแม่ขายในโครงการ โดยสร้างแรงจูงใจให้เข้าโครงการพัฒนาศักยภาพ
.jpg)
เสมือนจ้างพ่อค้าแม่ขายให้เข้าหลักสูตรพัฒนาทักษะ
ได้ความรู้ด้วย ได้เงินด้วย
คือ ให้ทั้งปลา และได้วิธีจับปลาเก่งขึ้นอีกด้วย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธาน
ระบุว่า ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาเพิ่มทักษะ (Up-skill/Re-skill) สำหรับผู้ประกอบการผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส หรือ “โครงการคนละครึ่งพลัส 1.5”
โครงการฯนี้ จะเป็นการเพิ่มทักษะและต่อยอดความรู้ให้ร้านค้า โดยเฉพาะการติดอาวุธดิจิทัลให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส
โดยเราจะมีการเพิ่มทักษะให้กับผู้ประกอบการร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัส
อันที่หนึ่ง คือ ให้ร้านค้าที่เป็นรายเล็กรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า เพิ่มยอดขายทางออนไลน์ ให้ขายออนไลน์เป็น เพิ่มยอดขายทางออนไลน์
อันที่สอง คือ การลดรายจ่าย ลดต้นทุนทางบัญชี เสริมสภาพคล่อง และจะให้กู้เงินผ่านระบบได้เลย ไม่ต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ
อันที่สาม คือ เพิ่มทักษะด้านดิจิทัล และ AI เพื่อให้เขาสามารถค้าขายเก่งขึ้น
เราจะใช้เงินที่เหลือจากโครงการคนละครึ่งพลัสที่เหลืออยู่เอามาเสริม โดยเราให้เงินแก่ผู้ประกอบการหรือร้านค้า 9 แสนกว่าร้านค้า รวมถึงผู้ประกอบการที่จะลงทะเบียนเพิ่มเติมเข้ามา ไม่เกิน 2,000 บาท/ร้านค้า
ร้านค้าจะต้องทำ 1 ใน 3 อย่างนี้ แล้วไปค้าขายปกติผ่านออนไลน์ ผ่านแอปฯถุงเงิน หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่วงวันที่ 19 พ.ย.-19 ธ.ค .2568 จากนั้นเราจะเพิ่มเงินท็อปอัพให้
รองนายกฯ นายเอกนิติ ยกตัวอย่างว่า “สมมุติ คนไปซื้อของ 200 บาท เขาจ่ายเอง 100 บาท กระทรวงการคลังหรือรัฐบาลสมทบให้ 100 บาท แต่ในส่วนที่กระทรวงการคลังสมทบ 100 บาทนั้น เราจะเพิ่มให้ 20% พูดง่ายๆ คือ เขาจะได้ตังค์ 120 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องไปเรียนเพิ่มทักษะ เช่น ขายของออนไลน์อย่างไรให้ปัง ลดต้นทุน สามารถขอกู้จากแอปฯ MyMo ได้ หรือไปเพิ่มทักษะ AI ดิจิทัล”
ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯและปฏิบัติตามเงื่อนไขโครงการฯ จะได้เงินเพิ่มรวมกันไม่เกินรายละ 2,000 บาท โดยกระทรวงการคลังจะจ่ายเงินให้ร้านค้าในวันที่ 25 ธ.ค.2568
โดยจะให้สิทธิร้านค้า 4 แสนรายแรก หรือได้เงินไม่เกินรายละ 2,000 บาท
สรุป โครงการนี้ ก็คือ จูงใจให้พ่อค้าแม่ขายรายเล็กรายน้อยเพิ่มทักษะการค้ายุคใหม่
Up-skill หรือ Re-skill
เป็นโครงการที่สุดยอดมาก คือ จูงใจให้คนเรียนรู้วิธีจับปลาด้วยตนเอง ด้วยเทคนิควิธีใหม่ๆ เพิ่มทักษะความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
สมัยคนละครึ่ง ไม่มีเรื่องนี้
โดยร้านค้าทั้งหลายในโครงการคนละครึ่งพลัส มีสิทธิเข้าโครงการ และจะได้รับเงินสูงสุดไม่เกินรายละ 2,000 บาท
ถ้าไปดูรายละเอียดการอบรมที่เลือกอย่างน้อย 1 อัน ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ตัวพ่อค้า-แม่ขายเองทั้งนั้น
พูดง่ายๆ ว่า ต่อให้ไม่มีเงิน 2,000 บาทมาเป็นแรงจูงใจ ก็ควรเข้าอบรมอยู่แล้ว เช่น
อบรมออนไลน์ของธนาคารออมสิน ผ่าน www.oomtang.gsb.or.th เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน เช่น การจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การประกอบธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่าย เทคนิคการตั้งราคาขาย การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล เป็นต้น
อบรมออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ www.dbdacademy.dbd.go.th เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะด้านการดำเนินธุรกิจให้ร้านค้าสามารถนำความรู้ไปต่อยอดในการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มทักษะเทคโนโลยี เพิ่มทักษะ AI เรียนผ่านระบบอบรมออนไลน์ DBD Academy (e-Learning) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
5.คนละครึ่งพลัส ดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า
น.ส.จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัสในครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามทั้งจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านค้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจร้านอาหาร ไม่เฉพาะแต่การใช้จ่ายที่หน้าร้าน แต่ยังรวมถึงการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ด้วย
“ในเฟสนี้ มีร้านอาหารที่ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการกับแกร็บเพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กและสตรีทฟู้ด
เราได้เห็นความคึกคักของฝั่งผู้บริโภคนับตั้งแต่วันแรก สะท้อนผ่านการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยมีผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสกับแกร็บจนมากกว่า1 ล้านออเดอร์ ในช่วงเวลาไม่กี่วันนับตั้งแต่เริ่มโครงการ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สะท้อนความสำเร็จของนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลด้วย”
แกร็บเผยอินไซต์ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในช่วง 5 วันแรก อาทิ
-คนส่วนใหญ่นิยมสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสด้วยมูลค่าประมาณ 80-120 บาทต่อออเดอร์ รองลงมาคือมูลค่า 120-150 บาทต่อออเดอร์
-มื้อกลางวันคือช่วงเวลาที่มีคนสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด โดยเฉพาะระหว่างเวลา 11.00-12.00 น.
-โครงการคนละครึ่งพลัสช่วยกระตุ้นให้มีความถี่ในการสั่งอาหารเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น โดยพบว่ามีคนสั่งอาหารตั้งแต่ 2 ออเดอร์ต่อวันขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปกติ
-เมนูอาหารที่คนนิยมสั่งผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด คือ ส้มตำ
รองลงมาคือ ก๋วยเตี๋ยว และไก่ทอด
ขณะที่ ชาไทย เป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ตามมาด้วย ชาเขียวหรือมัทฉะ และโกโก้เย็น
-ร้านอาหารที่มียอดขายเติบโตสูงสุดจากโครงการคนละครึ่งพลัส คือ “ร้านอยู่นี่ตามสั่ง ข้าวผัด สเต๊ก” ในกรุงเทพฯ โดยมียอดขายเติบโตถึง 18 เท่าจากช่วงปกติ จากยอดขายหลักร้อยกลายเป็นหลักหมื่นต่อวัน
-ขณะที่ “ร้านพาสต้า บ่?” ในย่านจรัญ 35 ทำสถิติสร้างยอดขายสูงที่สุดจากการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าครึ่งแสนบาท
-5 จังหวัดที่มีการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น โคราช และเชียงใหม่
“โครงการคนละครึ่งพลัส ไม่เพียงช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มผู้บริโภคและสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นให้กับร้านอาหาร แต่ยังส่งผลเชิงบวกไปถึงคนในอีโคซิสเต็ม อย่างไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหาร ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 13% นับตั้งแต่เริ่มโครงการ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องยังได้รับอานิสงส์ไปด้วย” - น.ส.จันต์สุดากล่าว
สุดท้าย โครงการดีๆ แบบนี้ ขอชื่นชมรัฐบาลอนุทิน ทีมเศรษฐกิจ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และขอสนับสนุนให้พัฒนาต่อยอดต่อไปอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคนตัวเล็กตัวน้อยในประเทศไทย
ส่วนนักการเมืองพรรคไหนจะอกแตกตาย ก็ช่างแม่ม
สารส้ม

สิ้นสุดทางสงสัย! 'ทนายไพศาล'ไขปมเข้าร่วม ปชป. เชื่อมั่น 'อภิสิทธิ์' คนดีมีสัจจะวาจา
'ธรรมนัส'ดันสินค้าเกษตรไทยโกอินเตอร์ ลงนามพิธีสารไทย-จีน เปิดตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
แฉผู้พันเขมรสั่งวาง'ทุ่นระเบิด PMN-2' พื้นที่ช่องบก ก่อนทหารไทยเหยียบ (คลิป)
ฝืดคอ!!! 'ช้างศึก'หืดทุบ'ลอดช่อง' 3-2
'สันธนะ'ปูด'พล.ต.อ.'โทรมาต่อรองเรื่องหมายจับ ลั่นไม่กังวลถ้าต้องเข้าเรือนจำ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี