วันอังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สุดจะอนาถ.. แกนนำ นปช. และพลพรรคเพื่อไทย ดาหน้ากันออกมาฟอกขาวเหตุการณ์ปี’52-53 อย่างหน้ามึนๆ
พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีชายชุดดำติดอาวุธ
ถ้าเป็นนวนิยายจีนกำลังภายใน คงต้องใช้สำนวนว่า “ผายลมมารดาเจ้า”
1. ช่วงปี’52 เสื้อแดงจลาจลป่วนเมืองกรุง ล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา ทักษิณบอกแพ้ไม่ได้ อย่ากลับบ้านมือเปล่า
ช่วงปี’53 เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย อริสมันต์ประกาศมีแก้วสามประการ มวลชน พรรคการเมือง กองกำลังติดอาวุธ ขวดแก้วคนละใบ ฯลฯ
แล้วก็มีกองกำลังชุดดำติดอาวุธ ฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน
ณัฐวุฒิปลุกม็อบตั้งแต่ต้นปี ที่เขาสอยดาว “เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง”
ณัฐวุฒิคนเดิมปราศรัยยุยงกลางกรุงเทพฯ บอกเสื้อแดงชอบวิ่งชนของแพงในห้าง หลังจากนั้นก็เกิดการทุบทำลาย ลักทรัพย์ สลายการชุมนุม ฯลฯ
ทักษิณวีดีโอลิงก์มา บอกให้ไปที่ศาลากลางกันเยอะๆ ฯลฯ
แล้วก็มีการเผาศาลากลาง 4 จังหวัดในภาคอีสาน
2. ชายชุดดำใช้อาวุธสงครามถล่มทหารไทย กลางกรุงเทพฯ ช่วงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553
ปรากฏทั้งคลิป ภาพ และเสียง
มีพยานบุคคลยืนยันว่ามีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามถล่มทหารไทยจริงๆ (และบางเหตุการณ์ยิงเอ็ม-79 ถล่มใส่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เช่น ที่สีลม)
ล่าสุด แม้แต่คนเสื้อแดงตัวเอ้ “อาคม ซิดนี่ย์” แดงฮาร์ดคอร์ ยังโพสต์เฟซบุ๊ก เผยถึงที่มาที่ไป รายละเอียดเกี่ยวกับชายชุดดำ เอาอาวุธมาจากไหน
3. คดีที่เกี่ยวข้องกับชายชุดดำ ปี’53
คำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย และนางปุนิกา หรือ อร ชูศรี เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ ปืนสงครามโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำฟ้องบรรยายว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว โดยร่วมกันนำ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม-79 ปืนเอ็ม-16 ปืนเอชเค 33 ปืนเอเค 47 หรือ ปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 พิพากษาว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1และนายปรีชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธสงครามให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืน จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 พิพากษายกฟ้อง
ต่อมา ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2563 ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 10 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา
สุดท้าย คำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายคดี ตอกย้ำว่า มีชายชุดดำในฝ่ายคนเสื้อแดง ใช้อาวุธสงครามโจมตีทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์ในช่วงปี 2553 จริงๆ
ยกตัวอย่าง
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 แม้จะยกฟ้องจำเลยที่เป็นแกนนำ นปช. อาทิ นายวีระกานต์
มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช., นายจตุพร หรือตู่ พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ หรือเต้น ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายขวัญชัย สาราคำหรือ ไพรพนา ฯลฯ ข้อหาร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ โดยมีความมุ่งหมายขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้กระทำการใด หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, ขู่เข็ญว่าจะทำการก่อการร้าย โดยสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือตระเตรียมการสมคบกันเพื่อก่อการร้าย มาตรา 135/2 และร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดตั้งแต่5 คนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบ ประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เห็นว่า นายยศวริศ จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และ 358 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษฐานข่มขืนใจผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จำคุก 5 ปี และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 8 ปี คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกรวม 5 ปี 4 เดือน
.jpg)
.jpg)
.png)
นายสุขเสก จำเลยที่ 12 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการนำเครื่องยิงระเบิดเอ็ม-79 ระเบิดลูกเกลี้ยงและกระสุนปืนจำนวนหนึ่งไปให้บุคคลนำไปฝังซึ่งต้องการปิดบังอำพรางอาวุธดังกล่าว โดยมีพยานซึ่งเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รู้เห็นมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 12 เป็นผู้ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม-79 ขณะเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยที่ 12 จึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายของบุคคลใด เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน อันเป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ลงโทษนายสุขเสก จำเลยที่ 12 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันก่อการร้าย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ชัดว่า ปี 2553 มีพฤติการณ์ “ร่วมกันก่อการร้าย” เพียงแต่มีหลักฐานเอาผิดได้เพียงหนึ่งคนในคดีนี้ น่าเสียดายที่ขณะนั้นยังไม่ปรากฏหลักฐานมัดแน่นไปถึงคนอื่นๆ
4. “รายงาน คอป.ฉบับสมบูรณ์” ชี้ชัด ยืนยันการมีอยู่จริงของ“ชายชุดดำ”
นายสมชาย หอมละออ คณะอนุกรรมการ คอป. ยืนยันผลการตรวจสอบ ระบุว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีผู้เสียชีวิต 26 ราย เป็นพลเรือน 21 ราย รวมทั้งนายมูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม มีผู้บาดเจ็บทั้งผู้ชุมนุมและทหารรวมกว่า 864 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทหารกว่า 300 นาย โดยพบหลักฐานว่ามีคนชุดดำ ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารที่ถนนตะนาว และถนนข้าวสารบริเวณสี่แยกคอกวัว ในเวลาประมาณ 20.00 น. โดยใช้ระเบิดเอ็ม-79 และอาวุธปืนเล็กยาวหรืออาวุธสงครามยิงเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติการอยู่ที่ถนนตะนาวและถนนข้าวสาร เสียชีวิต 1 นาย สำหรับที่ถนนดินสอ จากหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ต่อเนื่องมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ถูกโจมตีโดยกลุ่มคนชุดดำเช่นเดียวกัน
พบว่า ระเบิดเอ็ม-67 น่าจะขว้างมาจากบ้านไม้โบราณหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าของโรงเรียนสตรีวิทยา และระเบิด 2 ลูกนี้เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมด้วย มีข่าวหรือการกล่าวในทางสื่อมวลชนว่า พ.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิตด้วยกระสุนปืน จากการชันสูตรพลิกศพไม่พบร่องรอยว่า พ.อ.ร่มเกล้านั้นถูกยิงด้วยกระสุนปืน และน่าเชื่อได้ว่าเสียชีวิตด้วยพิษจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม-67
ประเด็นสำคัญ คอป.พบว่า ปฏิบัติการของคนชุดดำในทั้ง 2 พื้นที่นั้นได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางคน
ในเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 พบว่า อย่างน้อย 2 พื้นที่ ปืนลูกซองของทหาร 35 กระบอก ปืนเล็กยาวหรือ ปลย. ชนิดทราโวจำนวน 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง 700 นัดถูกการ์ด นปช.ยึดไป
ในเหตุการณ์ที่โรงเรียนสตรีวิทยา เจ้าหน้าที่สูญเสียมาก รถสายพานลำเลียงถูกเผา ปืนเล็กยาว ปลย. เอ็ม-16 จำนวน 9 กระบอก ทราโวจำนวน 13 กระบอก และอื่นๆ ถูกยึดไป
อาวุธเหล่านี้ ทางราชการได้กลับคืนมาเพียงปืนเอ็ม-16 1 กระบอก
5. “รายงาน คอป.ฉบับสมบูรณ์” เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการเผาบ้านเผาเมือง 2553 เอาไว้ด้วย
สรุปว่า ระหว่าง นปช.ชุมนุม 12 มี.ค.-19 พ.ค.2553 มีอาคารต่างๆ ในกทม.ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ 37 แห่ง
แบ่งเป็นสถานที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ธนาคารพาณิชย์ 15 แห่ง และสถานประกอบธุรกิจเอกชนที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ 19 แห่ง
รายงาน คอป.ระบุว่า ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นหลังเวลา 14.00 น. “...ผู้ชุมนุมประมาณ 20 คน พร้อมหนังสติ๊ก ระเบิดขวดและระเบิดปิงปอง เริ่มจุดไฟเผาและโยนถังแก๊สเข้าไปประมาณ 10 ถัง จากนั้นเกิดเสียงดังคล้ายระเบิดหลายครั้งเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.เจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จำนวน 8 คน ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด ซึ่งเกิดจากระเบิดขว้างสังหาร ซึ่งเป็นอาวุธสงคราม โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าวว่าคนขว้างสวมใส่เสื้อผ้าสีดำและสวมหมวกไหมพรมปิดหน้า หลังจากนั้นไฟจึงลุกไหม้อย่างต่อเนื่องมาจากด้านห้างสรรพสินค้าเซน และลามมาที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จนเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคมเจ้าหน้าที่จึงสามารถเข้าไปควบคุมเพลิงไว้ได้...”
“..เจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งให้คุ้มครองหน่วยดับเพลิงเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. แต่ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้เนื่องจากต้องผ่านบริเวณที่ยังมีการปะทะกันและมีสิ่งกีดขวางบนถนน ...กรณีเพลิงไหม้ที่โรงหนังสยาม หน่วยดับเพลิงเข้ามาถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม แต่ไม่สามารถเข้าไปในจุดที่เพลิงลุกไหม้ เนื่องจากมีการต่อต้านด้วยปืนสงครามจากคนชุดดำ จึงถอนกำลังกลับไปที่สนามกีฬาแห่งชาติ และสามารถเข้าไปควบคุมเพลิงได้ในช่วงเย็นแต่เพลิงได้ลุกไหม้ไปมากแล้ว…”
6. กรณีแกนนำ นปช.ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง 2553
ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีแพ่ง ให้แกนนำ นปช.บางราย ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของอาคารพาณิชย์ที่ถูกเผาในเหตุการณ์ 19 พ.ค.2553 ได้แก่
คดีหมายเลขดำ 1762/2554 ศาลฎีกาพิพากษาให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 21.3 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646-6647/2561 พิพากษาให้นายจตุพร, นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายรวมประมาณ 19.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
ทั้งสองคดีถึงที่สุดแล้ว
7. คดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี, อุดรธานี, ขอนแก่น และมุกดาหาร ศาลพิพากษาจำคุกสถานหนัก
คดีเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร (มีหลายสำนวน) สำนวนหลักศาลพิพากษาจำคุก 15 ปี นายวิชัย อุสุพันธ์ และพวก
คดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายพิเชษฐ์ ทาบุดดาหรือ อจ.ต้อย แกนนำ นปช.อุบลราชธานี และพวก
คดีเผาศาลกลางจังหวัดขอนแก่น ศาลพิพากษาจำคุก 13 ปี นายอดิศัย วิบูลเสข และพวก(แนวร่วมเสื้อแดง)
คดีเผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ศาลพิพากษาจำคุก 22 ปี นายวันชัย รักสงวนศิลป์และพวก (เสื้อแดง)
8. มาวันนี้ พอบ้านเมืองกำลังจะเดินไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้า แกนนำเสื้อแดง และพลพรรคเพื่อไทยบางส่วน ใช้วิชามาร
พยายามฟอกขาวเหตุการณ์จลาจลป่วนเมือง 2552 และเหตุการณ์เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองชายชุดดำติดอาวุธสงคราม ปี 2553
ไม่แยแสข้อมูลความจริง ที่มีภาพบันทึกหลักฐานอยู่มากมายเลย
หยุดเถิด... หยุดผายลมเรื่องไม่มีชายชุดดำ ละอายบ้าง!
สารส้ม

‘รมว.ศธ.’ห่วงใยสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ กำชับเฝ้าระวัง 24 ชม. ดูแลครู-นักเรียนใกล้ชิด
นายกฯเตรียมลงพื้นที่ศรีสะเกษ-อุบลราชธานี ให้กำลังใจกำลังพลพรุ่งนี้
'สส.ท็อป-สส.ยอร์ช'มอบถุงยังชีพ อธิบายเส้นทางน้ำจาก'เหนือ'ออก'อ่าวไทย'
'อนุทิน'ลั่น! เนรเทศด่วน ผู้ลักลอบเข้าเมือง ย้ำชัด'ไทยไม่ใช่พื้นที่พักพิงอาชญากรข้ามชาติ'
เรื่องราว‘ทีมหมอนทอง’ โมเดล-ต่อยอด สร้างความสมัครสมานสามัคคี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี