เมื่อวาน มีคำพิพากษาของศาลในคดี กปปส. เพิ่มอีกคดี
เป็นคำพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์
จำเลย ประกอบด้วย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม,นายสกลธี ภัททิยกุล, นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และ นายเสรีวงษ์มณฑา (คดีหมายเลขดำ อ.1191/2557, อ.1298/2557,อ.1328/2557)
ข้อหาหนักสุดที่ฟ้องดำเนินคดี คือ ความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำในความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจรฯลฯ รวม 8 ข้อหา
คดีเริ่มสืบพยานตั้งแต่ปี 2558-2562
1. ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2562 พิพากษายกฟ้อง
โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์นำสืบมารับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้ง 4 รายได้เข้าร่วมชุมนุม กับกปปส. แต่ไม่ได้เป็นแกนนำที่สั่งการผู้ชุมนุมหรือขึ้นปราศรัยสั่งการให้กระทำการรุนแรง โดยการชุมนุมของ กปปส.ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำวินิจฉัยที่ 59/2556 ว่าการชุมนุมของกปปส. สืบเนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 63 ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุที่คัดค้านการออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้กระทำความผิดตามฟ้องทั้ง 8 ข้อหา จึงพิพากษายกฟ้อง
2. ต่อมา ในชั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวานนี้ (20 ต.ค. 2564)
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่หนึ่ง(นายสนธิญาณ) ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.เเละสว. กรณีร่วมกับนายสำราญ รอดเพชร ขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ โรงเรียนสุโขทัย เขตดุสิต ให้จำคุก 1 ปีคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกแปดเดือนไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2-4 โจทก์ไม่ได้ร่วมนำสืบว่าได้ร่วมพยานหลักฐานไปขัดขวางการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 2-4 ไม่ได้ร่วมขัดขวางการเลือกตั้ง ส่วนอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นไม่เป็นสาระสำคัญ ที่เเก้เฉพาะจำเลยที่ 1 นอกนั้นให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดียังไม่ถึงที่สุด นายสนธิญาณจะยื่นต่อสู้ในชั้นฎีกาต่อไป
เท่ากับว่า กปปส.ไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้เป็นอั้งยี่ ซ่องโจร
และในทุกคดีที่ศาลตัดสินออกมาก่อนหน้านี้ ล้วนแต่ยกฟ้องในข้อหาข้างต้น
รายที่มีความผิด คือ ข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง
3. สำหรับคดีแกนนำ กปปส.ก่อนหน้านี้ คดีที่มีนายสุเทพและพวกเป็นจำเลย
ศาลอาญายกฟ้องข้อหากบฏ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าการชุมนุมของ กปปส.เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ มุ่งหวังรัฐบาลลาออก ให้มีการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาประเทศก่อนเลือกตั้ง จึงไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ โดยที่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร วินิจฉัยแล้วไม่มีเจตนาความผิดฐานกบฏ
แกนนำ กปปส.ที่เป็นจำเลยและถูกพิพากษาโทษจำคุกก่อนหน้านี้ มีความผิดในข้อหาหลักๆ คือ ขัดขวางการเลือกตั้ง บุกรุกสถานที่ราชการ ฯลฯ
ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ โทษจำคุก 5 ปี, นายชุมพล จุลใส จำคุก 9 ปี 24 เดือน, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ จำคุก 7 ปี, นายอิสสระสมชัย จำคุก 7 ปี 16 เดือน, นายถาวรเสนเนียม จำคุก 5 ปี, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จำคุก 6 ปี 16 เดือน, อดีตพระพุทธอิสระหรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพระพุทธอิสระ จำคุก 4 ปี 8 เดือน และร.ต. แซมดิน เลิศบุศย์ จำคุก 4 ปี 16 เดือน
ทั้งหมด เมื่อได้ประกันตัวสู้คดีต่อ ก็ไม่มีพฤติกรรมไปกระทำผิดซ้ำกับการกระทำผิดในคดี ไม่มีพฤติกรรมไปก่อม็อบ จัดเวทีชุมนุมเคลื่อนไหวซ้ำๆ ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มาศาลโดยตลอด ไม่มีการไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ทั้งหมดมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
4. ก็ขอชื่นชมสปิริตของจำเลยที่เป็นแกนนำ กปปส.ทั้งหลาย ที่ไม่หลบหนีไปไหนเลยแม้แต่รายเดียว
ไม่มีการไปปลุกปั่นให้คนออกมาทำผิดกฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องต่อรองให้ตัวเอง เหมือนแกนนำม็อบบางจำพวก
ทุกคน เคารพระบบยุติธรรมของบ้านเมือง ไม่ใช่เคารพเฉพาะเวลาที่ตนเองได้ประโยชน์
คนแบบนี้ คือ “คนจริง”
น่าเชื่อว่า มีเจตนาดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองส่วนรวมจริงๆ
ต่างกับพวกที่หนีคดี หนีคุก ปลุกปั่นให้คนอื่นทำผิดกฎหมายกันเยอะๆ พวกนั้น คือ “ของปลอม”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี