เรื่องเล่าของป๋าเปรม วันนี้ ดร.สุเมต สุวรรณพรหม ได้กล่าวถึง การก่อเกิดโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้” ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส ได้เฝ้ามองสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด ได้รับรู้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังมองไม่เห็นโอกาสแห่งความสงบและสันติสุข เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยความทุกข์ความห่วงใย พี่น้องชาวไทยขัดแย้งกันเพียงเพราะแตกต่างกันในการนับถือศาสนาและแตกต่างกันทางความคิด
นับตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปีที่เกิดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้เป็นต้นมา พลเอกเปรม ได้พยายามปรึกษาผู้ใกล้ชิดเพื่อการหาแนวทางดับไฟใต้ให้แก่แผ่นดินไทยการนำสันติสุขกลับคืนสู่ภาคใต้ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ป๋าเปรมได้เริ่มต้นด้วยการนำเรื่องนี้ปรึกษากับผู้ใกล้ชิดตามสไตล์การทำงาน ของท่าน อาทิ ดร.อาชว์ เตาลานนท์ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์นายอารีย์ วงศ์อารยะ คุณหญิงกษมาวรวรรณ ณ อยุธยา และผู้ใกล้ชิดในมูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นจากสภาหอการค้าไทย มูลนิธิรัฐบุรุษฯมูลนิธิรักเมืองไทย และมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2548 เป็นต้นมา
วันที่เริ่มโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” จากสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อต้นปี2547 ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ และมีผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมจากเหตุการณ์ไม่สงบนี้จำนวนมากป๋าเปรมได้ปรารภกับดร.อาชว์ เตาลานนท์ ในฐานะประธานหอการค้าไทยในขณะนั้นว่า “ภาคธุรกิจเอกชนจะไม่ทำอะไรหรือ”
หลังจากนั้นด้วยการสนับสนุนจากนักธุรกิจและนักการธนาคารหลายท่านจึงได้รวมตัวของกลุ่มภาคธุรกิจ 4 สถาบันประกอบด้วยหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมและสมาคมตลาดเงินทุนแห่งประเทศไทย ร่วมใจรวมพลังสู่ภาคใต้เป็นโครงการ “สานใจ ไทยสู่ใจใต้” ทีมงานซึ่งมี นายบุญชัย
โชควัฒนา หัวเรือใหญ่ ได้จัดกิจกรรมระดมทุนด้วยการจัดแสดงคอนเสิร์ต การจำหน่ายเสื้อยืด ของที่ระลึกและจัดกิจกรรมวิ่งการกุศลระดมทุนได้ 30 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสื่อความห่วงใยของคนในประเทศเพื่อนร่วมชาติชายแดนใต้ปลุกจิตสำนึกและสร้างความสามัคคีของคนในชาติ
เป้าหมายหลักคือการเชิญชวนให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นใจห่วงใยและส่งกำลังใจไปยังพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนใต้ เป้าหมายรองคือระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจากความไม่สงบ
ซึ่ง ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า “ป๋าเปรม” ได้กล่าวว่า เยาวชนคือเมล็ดพันธุ์เมื่อเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ก็จะผลิดอกออกผลเช่นเดียวกับเยาวชนเมื่อปลูกฝังความดีคิดดีทำดีเยาวชนก็เจริญเติบโตไปพร้อมกับสิ่งที่ดีงามเป็นการเสริมสร้างชีวิตใหม่สุดท้ายคุณภาพสังคมจะดีขึ้น
“ป๋าเปรม” ท่านเป็นผู้มีสายตายาวไกล มองว่าหากพัฒนาเยาวชนให้มีทัศนคติในทางที่ดี กลับแนวคิดเสริมสร้างความเป็นผู้นำเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะยั่งยืน
ก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงการ ให้มี ความเข้มข้นมากขึ้นจึงได้มีการจัดทำตัวโครงการ สานใจไทย
สู่ใจใต้ ขึ้นมาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่จับมือกันอย่างแข็งขัน จนได้โครงการเกียรติยศมาอย่างสมบูรณ์แบบ ตามเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้คือ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” มาเป็นหลักปฏิบัติงานในพื้นที่และพัฒนาชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนในสถาบันศึกษาปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนของรัฐได้รับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความแตกต่างกันในเชิงวัฒนธรรมประเพณีระหว่างสังคมของท้องถิ่นสังคมไทยและสังคมโลกซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจและสามารถพัฒนาตนเองให้เติบโตเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพในอนาคต ในรายละเอียด ของโครงการจะขอนำข้อมูลที่สำคัญมานำเสนอในตอนหน้านะครับ...
ตั้งแต่เปิดโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ตั้งแต่รุ่นที่ 1 ปี 2548 มาจนถึง ปี 2562 ดำเนินการไปแล้ว 35 รุ่น มีเยาวชนเข้าร่วมโครงการไปแล้วร่วมหมื่นคนมีครอบครัวอุปถัมภ์ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ เกือบ 4,000 ครอบครัว กระทั่งพิธีเปิดโครงการรุ่นที่35 ที่สโมสรทหารบก พลเอกเปรมท่านตั้งใจจะมาด้วยตัวเองแต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องของสุขภาพ ท่านจึงส่งเป็นคลิป ความยาวเกือบ 6 นาที มาแทน และนับเป็นการให้โอวาทครั้งสุดท้าย ของท่านมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า
“สิ่งที่พูดถึงทุกครั้งทุกคราวและเป็นสิ่งสำคัญมาก คือความเป็นไทยและความเป็นธรรม ถ้าพวกหลานๆ ยังไม่เข้าใจก็อยากจะขอร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ชี้แจงให้เด็กได้เข้าใจ จริงๆ พูดมาก็ 35 ครั้งแล้ว รวมครั้งนี้ขอให้เข้าใจว่าที่พูดนี่ก็เผื่อไว้ให้ได้เข้าใจ ความเป็นธรรม ความเป็นไทย จริงๆ เป็นอย่างไร จะได้ประโยชน์ต่อตัวเองครอบครัว และต่อส่วนรวม ขอให้คิดว่าเราเป็นปู่เป็นหลานกันจริงๆ อยากให้ทุกคน
ตั้งอกตั้งใจที่จะเรียนรู้คำว่า ความเป็นไทยและความเป็นธรรม”
การอยู่กับพ่อแม่ ครอบครัวอุปถัมภ์ ขอให้ตั้งใจเรียนรู้ว่าครอบครัวที่อยู่เมืองหลวงหรือกรุงเทพฯ นั้นว่ามีชีวิตอย่างไรแล้วก็จดจำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ตัวเองก็ต้องเข้าใจตัวเอง และดูแลตัวเองให้ดี ดูแลสุขภาพดูแลตัวเองให้ทันสมัยมีความรู้ที่จะไปใช้ประโยชน์เวลาเราโตขึ้น
ความเป็นไทย ความเป็นธรรม2 คำนี้ เป็นคำที่สำคัญที่เราต้องเรียนรู้เพื่อเรียนรู้อย่างอื่นต่อไปจากสองคำนี้ ขอให้โชคดี
ครับ!! ถือว่า เป็นการให้โอวาทครั้งสุดท้ายของรัฐบุรุษอาวุโส พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แล้วจริงๆ ผลผลิตแนวคิดโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตรงตามภาษิตรัฐศาสตร์ ที่ เจมส์ ฟรีแมน คลาร์กนักเขียนชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ว่า.. “นักการเมืองคิดถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่รัฐบุรุษคิดถึงคนรุ่นต่อไป”
สุดท้าย ท่านผู้อ่านที่จะร่วมเป็นเจ้าของหนังสือ “รัฐบุรุษของแผ่นดิน” จะได้รับมอบหนังสือ “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณ” จากมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ฟรีอีก 1 เล่มนะครับ ติดต่อได้ที่ 081-1103939 สวัสดีครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี