เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา “ลุงป้อม – พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่ 3 ป. และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐพรรคการเมืองแกนนำรัฐบาลและฐานกำลังที่มั่นของ “ลุงตู่ทหารแก่ – พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ได้เปิดเผยกรอบแนวคิดกำหนดนโยบายและแผนงานโครงการ เพื่อจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐเตรียมพร้อมในการหาเสียงเลือกตั้งที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในราวกลางปี 2565 คำประกาศดังกล่าวต้องสบถแรงๆว่า “อุกอาจ” ยิ่งนักโดยเฉพาะ “ยุทธศาสตร์พรรคในหัวข้อ เศรษฐกิจพัฒนา ประชามีสุข ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ประเทศชาติมั่นคง” ... เศรษฐกิจพัฒนาอย่างไรนั่นคือ เน้นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ผุดโครงการบัตรเครดิตเกษตรประชารัฐวงเงินครัวเรือนละ 50,000 บาท ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผุด “โครงการประชารัฐระดับตำบล ตั้งกองทุนตำบลละ 20 ล้านบาท” ที่ภายหลังกลับมาบอกว่า ยังเป็นแค่ข้อเสนอแนวคิดเท่านั้น
จะอย่างไรก็ดีต้องถามนักการเมืองที่ปรารภแนวคิดนี้ก่อนว่าทราบหรือไม่ ประเทศไทยมี 76 จังหวัดกับ 1 เขตปกครองพิเศษนั้น พบว่า 76 จังหวัดมี 9,652 ตำบล
เขตปกครองพิเศษกรุงเทพมหานคร มี 180 แขวง เบ็ดเสร็จงบประมาณที่ต้องใช้ในโครงการประชารัฐตำบลต้องใช้เงินราว 196,600 ล้านบาท หากอยากได้ก็ให้ไปกากบาทเลือก แล้วจะหางบประมาณมาจากไหน
ก่อนหน้านี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย เสนอกฎหมายเพื่อครอบครัวและพวกพ้อง โดยเฉพาะทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และสัญญาค้าข้าวแบบจีทูจีที่แปรเปลี่ยนเป็นจีทูเจี๊ยะ ที่สร้างความเสียหาย 7-8 แสนล้านบาท ทำให้ต้องการเข้ามาปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ปฏิรูปการเมือง ยุติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 7 ปีเศษ ของพลเอกประยุทธ์ มี ขรก. และนักการเมืองหลายคนถูกดำเนินคดี
วันนั้นนโยบาย, แผนโครงการ และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองที่นำมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ถูกเรียกขานว่า “ประชานิยม” กำลังจะถูกนำมาหลอกลวงปล้นประชาชนอีกครั้ง หลังการเมืองเมื่อ 20 ปีผ่าน “ทักษิณ ชินวัตร”
ตั้ง “พรรคไทยรักไทย”ก็ผลักดันนโยบายประชานิยมเสนอต่อสังคมไทย
“ประชานิยม” นิยามว่าเป็นอุดมการณ์หรือเป็น ปรัชญา การเมืองหรือวาทกรรมประดิษฐ์ประเภทหนึ่ง แนวคิดทางสังคมการเมืองซึ่งเปรียบเทียบ “ประชาชน” กับ “อภิชน” พจนานุกรมเคมบริดจ์นิยามว่าเป็น “แนวคิดและกิจกรรมทางการเมืองอันมีเจตนาเพื่อเป็นตัวแทนของความต้องการและความปรารถนาทั่วไปของประชาชน เป็นวาทกรรมการเมืองซึ่งดึงดูดใจประชากรส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงค่านิยมสุรุ่ยสุร่าย” อย่างไรก็ตาม มีการอธิบายว่าประชานิยมนั้นค้ำจุนรัฐบาลอำนาจนิยม อันเกิดจากกระบวนการปลุกระดมทางการเมืองซึ่งผู้นำจะปราศรัยแก่มวลชนโดยปราศจากการประนีประนอมของพรรคหรือสถาบันใดๆ ว่ากันจริงๆ ก็หมายถึงการออกนโยบายมาเอาใจประชาชนให้ประชาชนได้ในสิทธิพิเศษมากๆ แลกกับความนิยมในรูปแบบของประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือ
การกากบาทลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ที่ผ่านมาสังคมไทยเกิดความแตกแยก เศรษฐกิจไทยย่อยยับเพราะ “ประชานิยม” มาเท่าไหร่แล้ว จนต้องร่างบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองออกนโยบาย “ประชานิยม” ทั้งให้กกต.มีอำนาจสั่งปรับพรรคการเมือง 500,000 บาท
หากเสนอนโยบายไม่แจงวงเงิน ที่มาของเงิน และความคุ้มค่าของนโยบาย ให้ปรับรายวันวันละ 10,000 บาท
หยุดเถิด “นักการเมืองผู้เปรื่องปราชญ์ ความฉลาดความโกงช่างโปร่งใส คุณไม่เคยลำบากจนยากไร้ แต่ปากคุณเอาใจคนยากจน”
หยุดเถิดเลย ... หยุดปล้นประเทศชาติ หยุดทุจริตเชิงนโยบาย สร้างหนี้สาธารณะเถอะ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี