เรื่องทรัพย์สินที่พระสงฆ์ได้มาระหว่างครองจีวร รับกิจนิมนต์ รับบริจาคทำบุญ ควรตกเป็นของวัด ของพระศาสนา ไม่ควรจะให้คนฉวยโอกาสบวชเข้ามาเป็นพระเพื่อแสวงหาสะสมเงินทอง ทำทุกอย่างให้โด่งดัง รับเงินบริจาคทุกรูปแบบ ขายของ เป็นพรีเซ็นเตอร์ เทศน์ตลกเฮฮา ใช้เอาใจผู้คนเสมือนเนตไอดอล หยาบคาย หิวแสง ทำทุกอย่างเพื่อให้มีคนสนใจติดตามและสนับสนุนเงินทอง เมื่อได้มาก็เอาเป็นของส่วนตัว แล้วก็ลาสิกขา นำทรัพย์นั้นออกจาก
พระศาสนาไปใช้ในการส่วนตัว
ประเด็นทรัพย์สินพระสงฆ์นั้น เป็นปัญหามานานแล้ว และปัญหาก็หนักขึ้นทุกวัน
1. ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา ออกมาเปิดประเด็นว่า
“ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาระหว่างเป็นพระภิกษุนั้น เป็นทรัพย์สินที่ศรัทธาญาติโยม ได้ถวายไว้แด่พระภิกษุ ในฐานะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ทรัพย์สินเหล่านั้น มิได้ถวายเป็นของส่วนตัวของพระภิกษุนั้น แต่ได้ถวายแด่พระภิกษุในฐานะเป็นตัวแทนพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงถือว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมิใช่ของพระภิกษุ แต่เป็นของวัด
เมื่อพระภิกษุรูปนั้นมรณภาพลงไป ทรัพย์สินเหล่านั้นจึงตกเป็นของวัด ญาติพี่น้องจะเอาไปไม่ได้ ยกเว้นไว้แต่ทรัพย์สินนั้น ที่ได้มาก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และมีการจำหน่ายทรัพย์สินระหว่างยังมีชีวิตอยู่หรือทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๓ “ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาอยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม”
และได้บัญญัติไว้ใน มาตรา ๑๖๒๔ “ทรัพย์สินใดเป็นของบุคคลก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินนั้นหาตกเป็นสมบัติของวัดไม่ และให้เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลนั้น หรือบุคคลนั้นจะจำหน่ายโดยประการใดตามกฎหมายก็ได้”
เมื่อวิเคราะห์ตามมาตรา ๑๖๒๓ แล้ว ในเบื้องต้นอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาในระหว่างอยู่ในสมณเพศเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุรูปนั้น ฉะนั้น ท่านจึงสามารถจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรมก็ได้ แต่หากพิจารณาถึงที่มาและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติให้ถ่องแท้แล้ว จะเห็นว่าหาเป็นดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้นไม่ กล่าวคือ มาตรา ๑๖๒๓ นี้มีที่มาจากกฎหมายลักษณะมรดก บทที่ ๓๖ ซึ่งตราไว้ว่า
“มาตราหนึ่ง ภิกษุจุติจากอาตมภาพและคฤหัสถ์จะปันเอาทรัพย์มรดกนั้นมิได้เหตุว่าเขาเจตนาทำบุญให้แก่เจ้าภิกษุเป็นของอยู่ในอารามท่านแล้ว
ถ้าเจ้าภิกษุอุทิศไว้ให้ทานแก่คฤหัสถ์ๆ จึ่งรับทานท่านได้”
ข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๒๓ ว่า “ทรัพย์สินของพระภิกษุจะตกเป็นของวัดต่อเมื่อท่านมิได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิต หรือโดยพินัยกรรม ข้อนี้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ซึ่งผู้ทรงศีลเป็นพระภิกษุจะพึงบำเพ็ญจาคะ ทำบุญให้ทานแก่คนอื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติยกเว้นไว้ให้ท่านจำหน่ายทรัพย์สินได้ทั้งในระหว่างชีวิตและโดยพินัยกรรม ทรัพย์ใดที่ท่านได้จำหน่ายไปแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ประเพณีในทางปฏิบัติของพระภิกษุที่เคร่งในพระธรรมวินัย เมื่อได้จตุปัจจัยมาเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ท่านมักจะจับสลากแจกจ่ายไปในบรรดาสามเณรและศิษย์วัด ไม่เก็บสะสมไว้ แม้ท่านจะทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์เมื่อท่านมรณภาพ ก็อยู่ในหลักการของการบำเพ็ญจาคะอยู่นั่นเอง ทางวัดจะโต้แย้งเอาเป็นสมบัติของวัดไม่ได้”
เมื่อพิจารณาดูถึงที่มาของมาตรา ๑๖๒๓ ประกอบกับวัตถุประสงค์แล้วจะเห็นว่าทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่พระภิกษุในขณะอยู่ในสมณเพศนั้นกฎหมายถือว่าเป็นของที่ให้เพื่อทำบุญในพระพุทธศาสนา
ไม่ได้ให้แก่พระภิกษุเป็นการส่วนตัว
เพราะถ้าไม่ใช่เป็นพระภิกษุ ก็จะไม่มีคนทำบุญให้
หรือดังที่มีผู้ตั้งคำถามว่า“ถ้าไม่บวชจะได้มาหรือ”
2. นายสมบัติ พิมพ์สอน ฐานะรองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีทรัพย์สินของพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ที่ประกาศเตรียมสึกในวันที่ 4-5 ธ.ค.นี้ ว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุว่า ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลําเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จําหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรมไม่ได้มีระบุถึงการลาสิกขา (สึก) แต่อย่างใด ซึ่งกรณีของพระมหาไพรวัลย์ เป็นการสึกตามปกติ ดังนั้น ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างบวชเป็นพระภิกษุ หากญาติโยมถวายพระมหาไพรวัลย์เป็นการส่วนตัว ก็จะเป็นสิทธิของพระมหาไพรวัลย์ ส่วนการสึกนั้น พระสงฆ์สามารถเปล่งวาจาสึกต่อพระสงฆ์อีกรูปที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนได้ ไม่จำเป็นต้องมีพิธี
3. อันที่จริง ถ้าอ่านสิ่งที่นายศรีสุวรรณเขียนอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่า นายศรีสุวรรณไม่ได้โง่ และไม่ใช่ไม่รู้ว่ากฎหมายแพ่งดังกล่าวระบุเน้นถึงกรณีมรณภาพ
แต่นายศรีสุวรรณมีประเด็นที่ลึกไปกว่านั้น
คือ ชี้ว่า ไอ้ที่ทำๆ กันนี้ คือ อาศัย “ข้อยกเว้น” หรือ ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตามหลักการที่ควรเป็นของการจัดการทรัพย์สินของพระสงฆ์ตามหลักพระพุทธศาสนา
4. ลองคิดง่ายๆ ด้วยสามัญสำนึก
“พระ” จะต้องเป็นบุคคลที่สละแล้วซึ่งกิเลส ตัณหา ราคะ ลด ละ เลิกไม่มีความละโมบ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองส่วนตัว มันจึงไม่ควรจะมี “มรดกที่เป็นทรัพย์สินเงินทอง” อันได้มาระหว่างการบวชมาตั้งแต่ต้น
“พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในอายุความตามกฎหมายกำหนด แต่พระภิกษุนั้นอาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้”
กฎหมายจึงห้ามพระภิกษุมาฟ้องหรือเรียกร้องมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม เว้นแต่จะสึกออกมาเสียก่อนและเรียกร้องภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด นั่นคือข้อความกฎหมาย
“ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรม”
นี่ก็เป็นข้อกฎหมายได้เขียนไว้ว่า ในระหว่างที่บุคคลใดยังบวชเป็นพระอยู่ หากมีญาติโยมที่ศรัทธาและได้ถวายทรัพย์สินเงินทองใดๆ ให้แก่พระภิกษุ เมื่อพระภิกษุมรณภาพลงไปเมื่อใด ทรัพย์สินที่ท่านได้รับมาในระหว่างบวชก็จะตกเป็นสมบัติของวัดที่พระภิกษุรูปนั้นจำพรรษาอยู่ทันที แต่มีข้อยกเว้นว่า ทรัพย์สินจะไม่ตกเป็นสมบัติของวัดถ้าขณะยังมีชีวิตพระภิกษุรูปนั้นได้จำหน่ายจ่ายโอน หรือยกทรัพย์สินชิ้นใดให้คนหนึ่งคนใดไปเสียก่อน หรือว่าพระภิกษุรูปนั้นได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินใดให้แก่คนที่ท่านระบุชื่อไว้ในพินัยกรรม
ชัดเจนว่า เป็น “ข้อยกเว้น”
พวกที่บวชหาเงิน ก็อาศัยข้อยกเว้นกันแหลกลาญ
พรุ่งนี้มาต่อกันอีก ว่าทำไมควรปฏิรูปการจัดการทรัพย์สินพระสงฆ์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี