ราคาหมูที่แพงขึ้นมาในช่วงนี้ ทำให้บางคนฟันธงว่า นี่คือภาวะเงินเฟ้อทั่วไป
หนึ่งในนั้น คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หนีคดีทุจริต พูดในกลุ่มแคร์ ยกเอาเรื่องนี้มาดิสเครดิต โจมตีรัฐบาลเป็นรายวัน โม้ลั่นทุ่งว่าเงินเฟ้อจะพุ่งกระฉูดอัตราดอกเบี้ยจะทะยานขึ้น เศรษฐกิจจะย่ำแย่
ไม่ต่างกับตอนที่เคยโจมตีเรื่องวัคซีน ร้อยบาท เอาขี้มากองเดียวทักษิณมั่วมาหลายเรื่องแล้ว ยังมีคนเชื่ออีกหรือ?
ขอให้ลองพิจารณาข้อมูลจริงจากมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง
นั่นคือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
1. กนง. เพิ่งจะมีมติเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ 0.5%
และยังชี้ชัดว่า เงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในกรอบคาดการณ์
2. การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 8/2564 วันที่ 22 ธันวาคม 2564 กรรมการที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ(ประธาน) นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) นางสาววชิรา อารมย์ดีนายคณิศ แสงสุพรรณ นายรพี สุจริตกุล นายสมชัย จิตสุชน นายสุภัค ศิวะรักษ์
แต่ละคนล้วนแต่มีประสบการณ์ความรู้โดยตรง อยู่ในแวดวงการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจมหภาคโดยตรง
อาจโม้ไม่เก่งเท่านักโทษหนีคดีโกง
แต่ทุกคนมีเครดิต น่าเชื่อถือ และทำงานตรงไปตรงมา ไม่ใช่ลูกน้องรัฐบาล
3. ล่าสุด แบงชาติได้เผยแพร่รายงานการประชุม กนง.ข้างต้น เปิดเผยข้อมูล การคาดการณ์ การตัดสินใจของ กนง. ที่น่าสนใจ
แน่นอน น่าสนใจกว่ามุมมองของคนขี้โม้ขี้หมากองเดียวแน่ๆ
กล่าวโดยสรุป ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะตลาดการเงิน
เศรษฐกิจคู่ค้าในระยะข้างหน้า มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้ ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ Omicron จะจำกัดอยู่ในช่วงแรกของปี 2565 โดยเศรษฐกิจคู่ค้าจะทยอยฟื้นตัวในระยะต่อไป
สำหรับเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มชะลอลง ทั้งจากการใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับความกังวลต่อการระบาดระลอกใหม่ที่กระทบการผลิตและขนส่ง รวมถึงการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐเพื่อชะลอความร้อนแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์และการเพิ่มความเข้มงวดของภาครัฐต่อกิจกรรมในภาคการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 0.9 ในปี 2564
และจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2565 และ 2566 ที่ร้อยละ 3.4 และ 4.7 ตามลำดับ
จากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะทยอยกลับมามากขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวในหลายสาขาธุรกิจมีแนวโน้มปรับดีขึ้นสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่การจ้างงานและรายได้แรงงานยังอยู่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาด สำหรับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐคาดว่าจะแผ่วลงหลังจากที่เร่งไปในช่วงก่อนหน้า ด้านการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงบ้างตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 จะขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 6 ล้านคนเป็น 5.6 ล้านคน จากการระบาดของสายพันธุ์ Omicronที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางระหว่างประเทศในช่วงแรกของปี
การลงทุนภาคเอกชน มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ แต่ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากความไม่แน่นอนของผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยในปี 2564 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 1.7 และ 1.4 ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นชั่วคราวจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยเฉพาะราคาพลังงานและข้อจำกัดในการผลิตและขนส่งสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ทั้งนี้ โอกาสที่แรงกดดันเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยังมีไม่มาก เนื่องจากความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการยังมีจำกัด
โดยจากผลการสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการในเดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่า ผู้ประกอบการร้อยละ 55 จะยังไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากการแข่งขันสูงและกำลังซื้อในประเทศยังไม่เข้มแข็งจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและตลาดแรงงานที่ยังเปราะบาง
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่องตามทิศทางการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ ด้านการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อไทยมีความเสี่ยงด้านสูงจากพัฒนาการเงินเฟ้อโลกและการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการในระยะข้างหน้า
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง
โดยจะต้องติดตาม
(1) พัฒนาการการระบาดของสายพันธุ์ Omicron ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รุนแรง หรือยืดเยื้อกว่ากรณีฐาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์และความเข้มงวดของมาตรการควบคุมการระบาด
(2) ความเชื่อมั่นของประชาชนและธุรกิจ ท่ามกลางการระบาดหลายระลอกและปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง
(3) ความต่อเนื่องและเพียงพอของมาตรการภาครัฐเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
และ (4) ปัญหา global supply disruption ที่อาจยืดเยื้อกดดันธุรกิจในภาคการผลิตและการส่งออก
ประเด็นสำคัญที่ กนง.อภิปราย
เช่น คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron เป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ในกรณีฐานคาดว่าจะยังไม่กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม แต่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและยืดเยื้อกว่าคาดได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการแพร่ระบาดและความเข้มงวดของมาตรการควบคุม
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางขยายตัวได้ต่อเนื่องในกรณีฐาน โดยการระบาดของสายพันธุ์ Omicron จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการส่งออกสินค้าในช่วงแรกของปี2565 โดยข้อสมมุติในกรณีฐานประเมินว่าแม้การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Omicron จะมีอัตราการแพร่เชื้อสูงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนในปัจจุบันช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น จึงคาดว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการควบคุมการระบาดเฉพาะพื้นที่และปิดการลงทะเบียนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัว (Test & Go) เพียงชั่วคราว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากเดิมประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มฟื้นตัวในอัตราเร่งขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการระบาดได้ในช่วงต้นปี 2566
3. จะเห็นว่า กนง.ได้ติดตาม ประเมินสถานการณ์โดยละเอียด ครอบคลุม
ที่สำคัญ เป็นการพิจารณาอย่างมืออาชีพ ทำงานอยู่บนฐานข้อมูลจริงทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ความเสี่ยงผลกระทบจากโควิดของโลก
มิใช่อิงการเมืองที่ต้องการเขย่าความน่าเชื่อถือรัฐบาล เพื่อผลักดันตัวเองให้ได้กลับมามีบทบาททางการเมืองโดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาลในคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี