เข้าโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ทุกกลเม็ดเด็ดจึงถูกงัดออกมาสู้กันแบบไม่มีใครยอมใครเพราะมีเดิมพันการเลือกตั้งสนามใหญ่ต้นปีหน้ารออยู่ รวมถึงเป็นการเปิดสงครามในช่วงสมัยประชุมสภาที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย แต่ในความเป็นจริง ก็ยังมีการเลือกตั้งคู่ขนานที่เกิดขึ้นพร้อมกันอีกสองที่ คือนายกเมืองพัทยา และเลือกตั้งซ่อมสส.ราชบุรี ที่ต้องวิเคราะห์ควบคู่ไปด้วย
แต่จุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญในตอนนี้คือ กรุงเทพมหานคร?
เมื่อเวทีการประลองกรุงเทพฯ เป็นเวทีสำคัญที่มีส่วนชี้ชะตาการเมืองไทยว่าจะเดินในทิศทางใดต่อไป แม้ผลที่ออกมาจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะบ่งบอกถึงกระแสคนเมืองทั่วประเทศได้ระดับหนึ่ง ว่าทิศทางประชาชนตอนนี้ ตอบรับกับผู้สมัคร นโยบาย หรือการสังกัดพรรคการเมือง
หากมองว่าอุดมการณ์ทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ชาวคนเมืองใช้ตัดสินใจในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ก็คงดูจะเป็นคำตอบที่กว้างเกินไปหรือไม่? แม้นายชัชชาติ น.ต.ศิธา นายวิโรจน์ จะเป็นผู้สมัครที่ดูแล้วน่าจะมีจุดยืนอยู่ขั้วตรงข้ามรัฐบาลเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะบางประการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกับกรณีของนายสุชัชวีร์ พลตำรวจเอกอัศวินรวมถึงนายสกลธี ที่แม้จะอยู่ในรั้วรัฐบาลเหมือนกัน แต่ก็มีบางจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก็คงขึ้นอยู่กับประชาชนผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนว่าอะไรเป็นจะปัจจัยสำคัญ ที่ใช้ตัดสินใจในการเลือกผู้แทน?
หากย้อนไปที่เวทีการเลือกตั้งซ่อมผู้แทนเขต 9 หรือเขตจตุจักร-หลักสี่ ที่นายอรรถวิชช์ ตัวแทนผู้สมัครจากพรรคกล้า ที่ถือว่าเป็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ แต่กลับโชว์ฟอร์มโหดในการเปิดประเดิมเวทีกรุงเทพฯ โดยได้รับคะแนนจากประชาชนในท้องที่ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงกว่าที่คาด อาจเพราะด้วยชื่อชั้นส่วนตัวของนายอรรถวิชช์ จึงไม่แปลกที่จะได้รับความไว้วางใจกับประชาชนในพื้นที่ แต่นั่นก็สะท้อนมุมมองต่อคนเมืองที่เปลี่ยนไปเพราะโดยมากเราจะมองคนเมืองว่าเลือกจากพรรค
เช่นเดียวกับกรณีนายเพชร กรุณพล ผู้สมัครหน้าใหม่ ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล ได้รับคะแนนเสียงเหนือกว่าที่หลายสำนักคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามแม้ผลคะแนนที่ออกมา จะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นายเพชรกรุณพล รวมถึงนายอรรถวิชช์ สามารถก้าวไปถึงจุดหมายที่ตนเองได้ตั้งไว้ แต่ผลคะแนนที่ออกมาสูงกว่ามาดามหลี ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคเจ้าของพื้นที่เก่า ก็อาจเป็นการบางอย่างได้ว่า ชื่อชั้นของพรรคแม้จะมีส่วนสำคัญ แต่ก็ไม่อาจเป็นปัจจัยหลักที่ชาวคนเมืองใช้ประกอบการตัดสินใจในตอนนี้แล้วหรือไม่?
การเลือกตั้งในเวทีย่อย จตุจักร-หลักสี่ แม้จะเป็นเพียงเวทีเล็กๆ แต่ก็เปรียบเสมือนเวทีที่ใช้สำหรับการลองสนาม และทรรศนะประชาชนในปัจจุบัน หากผลที่ออกมาส่งผลกระทบลากยาวมาถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ สำหรับพรรคพลังประชารัฐก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะฝ่ายค้านเองก็ถือว่าทำผลงานได้ดีในเวทีย่อยดังกล่าว ทั้งพรรคเพื่อไทย ที่สามารถยึดฐานที่มั่นเขต 9 กลับมาได้ พรรคก้าวไกล ที่แม้จะส่งหน้าใหม่ลงชิงชัย แต่ก็ทำคะแนนได้ดีเกินกว่าที่คาด
แตกต่างจากพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ขนาดพรรคพันธมิตรอย่างประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครมาตัดคะแนนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถรักษาฐานที่มั่นเดิมได้ นอกจากนี้ผลคะแนนที่ออกมาก็ถือว่าน่าผิดหวัง จนหลายสำนักต่างตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐ หรือคือเสียงสะท้อนไปถึงคะแนนนายกรัฐมนตรี
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหลักที่พรรคพลังประชารัฐ เลือกที่จะไม่ส่งผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ
ในนามสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพราะอาจเกรงว่า หากผลคะแนนออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจ ก็มีโอกาสที่จะส่งผลไปถึงคะแนนนิยมของสังกัดในการเลือกตั้งใหญ่ก็เป็นได้จึงเลือกที่จะส่งแค่ผู้สมัคร สก. ในนามพรรคเพียงเท่านั้น ส่วนท่าทีของ สก. จากพรรคพลังประชารัฐจะให้ความร่วมมือหรือไม่นั้น ก็อาจขึ้นอยู่กับผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ คนต่อไปหรือไม่?
แม้ดูแล้วพรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะมีแผนในการเดินเกมเวที สก. ไว้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า พรรคพลังประชารัฐ จะมีบทบาทในเวที สก. มากน้อยเพียงใด เพราะแม้ผลคะแนนของเวที สก. จะไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ดูแล้วพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่น่าใช่กลุ่มก้อนที่ใหญ่ที่สุดในเวที สก. หรือไม่?จากการที่ไม่มีใครเป็นหัวหน้าทีมอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับกรณีเพื่อไทย ที่ถูกมองว่านายชัชชาติที่แม้ลงอิสระ แต่ก็ดูไปในทางเดียวกัน
ตามที่หลายสำนักคาดกันว่า การถอยห่างมาของพรรคพลังประชารัฐ ในการส่งผู้สมัครในเวทีผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ อาจเพื่อหลีกทางให้กับ พลตำรวจเอกอัศวิน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับพลตำรวจเอกอัศวินโดยตรง แต่ในเวที สก. กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อพลตำรวจเอกอัศวิน ก็เลือกที่จะส่งผู้สมัคร สก. ในนามทีมอัศวินลงเช่นกัน ซึ่งดูแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะตัดคะแนนเสียงกันเอง และอาจส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้สัดส่วน สก. ที่มากพอหรือไม่? ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่กับพรรคพลังประชารัฐ
ก็น่าสนใจว่าหากสัดส่วน สก. ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเกินครึ่ง การบริหารงานที่จะต้องอิงอาศัยกลุ่มทางการเมืองที่หลากหลาย จะส่งผลต่อการทำงานของผู้ว่าฯกรุงเทพฯหรือไม่? เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยที่นายอภิรักษ์ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ สมัยแรก ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานของนายอภิรักษ์ เป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงสองปีแรก
มีความเป็นไปได้สูงที่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ จะซ้ำรอยกับเหตุการณ์ข้างต้น เพราะไม่แน่ว่าผลการเลือกตั้ง สก. ที่ออกมา กลุ่มก้อนใหญ่อาจถูกแบ่งเป็นสามกลุ่มหลัก ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มแรกพรรคเพื่อไทย กลุ่มที่สองทีมอัศวิน ซึ่งสองกลุ่มแรกดูแล้วมีความเป็นไปได้ที่จะได้สัดส่วน สก. จำนวนหนึ่ง แต่ไม่น่าจะมีใครได้เกินครึ่ง ส่วนกลุ่มที่สามอาจเป็นสังกัดอื่นๆไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล พรรคกล้า พรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องดีสำหรับนายชัชชาติ ที่มีผู้พร้อมสนับสนุนตนอย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งแต่สำหรับ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเพื่อไทย อาจไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะอาจเป็นการเพิ่มคู่แข่งในฐานคะแนนเสียงเดียวกันและอาจส่งผลให้สัดส่วน สก. จากพรรคเพื่อไทยน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่? และหากเกิดเหตุการณ์ที่ สก. เพื่อไทยได้ในจำนวนที่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น ก็น่าสนใจว่าจะกระทบต่อกระแสเพื่อไทยแลนด์สไลด์มากน้อยเพียงใด?
ในตอนนี้เองก็เริ่มมีคำถามเกี่ยวกับโอกาสที่เพื่อไทย จะสร้างปรากฏการณ์แลนสไลด์ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด? จริงอยู่ที่กติกาบัตรเลือกตั้งสองใบอาจทำให้เพื่อไทยดูได้เปรียบอยู่บ้าง แต่การเมืองในตอนนี้ก็ไม่อาจวัดได้ว่าพรรคเพื่อไทย จะสามารถทำเช่นเดิม เหมือนที่เคยทำได้หรือไม่? ในวันที่พรรคก้าวไกล ก้าวขึ้นมามีบทบาท พร้อมท้ารบกับพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัว แม้จะมีจุดยืนจุดร่วมเดียวกัน แต่ในสมรภูมิที่ผ่านมา ทั้งสองพรรคก็ไม่ได้หลีกทางให้อีกฝ่ายเดินได้อย่างสะดวกสักนิด
อย่างในกรณีของการเลือกตั้งซ่อมเขต 9 ที่ผ่านมาเมื่อเพื่อไทยตัดสินใจส่งนายสุรชาติ เทียนทอง เข้าสู่สังเวียนพรรคก้าวไกลก็มิได้หลีกทางให้เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ หลีกทางให้ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐเพื่อรักษามารยาททารการเมือง แต่กลับส่งนายเพชร กรุณพล ลงสู้ในสังเวียนครั้งนั้นอีกด้วย
และในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในครั้งนี้หากนายวิโรจน์ ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล ได้รับคะแนนความไว้วางใจจากประชาชนในจำนวนที่มากพอจนสามารถครองเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้ พรรคก้าวไกล ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้หรือไม่?
อีกหนึ่งเวทีการเลือกตั้งที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน เพราะผลแพ้ชนะก็จะส่งผลต่อการเมืองภาพใหญ่ไม่น้อยกว่าการ
เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ นั่นคือการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา ซึ่งกำหนดการเข้าคูหาเป็นวันเดียวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ พอดิบพอดี
พัทยาเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ที่สามารถดึงดูดเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ให้เข้ามาพำนักและท่องเที่ยวในเขตปกครองพิเศษแห่งนี้ และแน่นอนทำให้มีงบประมาณท้องถิ่นจำนวนมาก การเลือกตั้งนายกฯเมืองพัทยาจึงดูแล้วน่าจะมีความสำคัญไม่แพ้กรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ แต่การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาในครั้งนี้มีอะไรที่พิเศษต่างออกไปจากครั้งไหนๆ ในอดีต
เป็นที่ทราบกันดีว่าในเขตพื้นที่เมืองพัทยา มักจะเป็นฐานที่มั่นสำคัญของบ้านใหญ่ - คุณปลื้ม มาโดยตลอด
แต่หากจะคิดว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ก็คงเป็นบ้านใหญ่ที่สามารถปักธงชัยได้อีกเช่นเดิมที่เคยทำมาก็คงอาจไม่ใช่ เพราะในตอนนี้ต้องยอมรับกันตามตรงว่าบ้านใหญ่เมืองชล ก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งจากการเมืองภาพใหญ่รวมถึงการเมืองท้องถิ่น
ในตอนนี้ต้องยอมรับว่าการเข้ามามีบทบาททางการเมืองของนายสุชาติในระยะหลัง เริ่มมีอิทธิพลไม่แพ้บารมีบ้านใหญ่ แต่ยังอยู่ในลักษณะที่ตีคู่กันมาอยู่ แต่หากบ้านใหญ่ไม่สามารถรักษาเก้าอี้ผู้ว่าฯ เมืองพัทยาเอาไว้ได้ ในการเลือกตั้งสนามใหญ่ครั้งหน้า ก็มีโอกาสที่ขั้วอำนาจเมืองชล จะถูกเปลี่ยนมือจากบ้านใหญ่สู่มือนายสุชาติก็เป็นได้หรือไม่? เดิมพันที่ทางบ้านใหญ่ใส่ลงมาจึงมีราคาค่างวดที่ค่อนข้างสูง เพราะหากพ่ายแพ้ในเวทีผู้ว่าฯ เมืองพัทยา ราคาสิ่งที่ต้องจ่ายคือ ชื่อเสียงของบ้านใหญ่ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน รวมถึงอำนาจในการต่อรองทางการเมืองด้วยหรือไม่?
อาจเพราะด้วยผลงานที่ผ่านมาและความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ จึงอาจทำให้กลุ่มบ้านใหญ่จะดูเป็นต่อกลุ่มอื่นๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อคู่แข่งในครั้งนี้นอกจากจะมีกลุ่มอื่นๆ ในท้องที่ที่พร้อมจะเสียบเก้าอี้นายกเมืองพัทยาแล้ว ยังพบว่ามีตัวแทนจากคณะก้าวหน้าลงสมัครชิงชัยด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล้มบ้านใหญ่ แต่คณะก้าวหน้าเองก็พร้อมสร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองอยู่แล้ว แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ยิ่งในเวลาที่เมืองชลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และแน่นอนว่าบ้านใหญ่กำลังสู้โดดเดี่ยวโดนไร้แรงหนุนจากพันธมิตรแบบทุกครั้ง
ก็ต้องมาดูกันว่าระหว่างนายปรเมศร์ ศิษย์บ้านใหญ่ จากทีมเรารักษ์พัทยา กับนายกิตติศักดิ์ จากค่ายก้าวหน้า
ใครกันที่จะสามารถไปนั่งในหัวใจชาวเมืองพัทยาได้หรือตำแหน่งนายกเมืองจะเป็นของผู้อื่น ที่ไม่ได้มาจากทั้งสองสังกัดนี้กันแน่?
แม้ว่าช่วงเวลาของการเลือกตั้งทั้งเวทีกรุงเทพฯ และเวทีเมืองพัทยาจะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แต่ก็คงไม่ใช่จุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน เพราะจุดหมายปลายทางที่แท้จริงคือ การเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ละสังกัดพรรคจึงน่าจะพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตนเองกุมความได้เปรียบไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สังกัดพรรคใดจะเป็นฝ่ายกำชัยชนะและกุมความได้เปรียบไปได้ในที่สุด หลังปิดหีบรู้กัน
“บุรุษชาติชาตรีที่แท้จริง หากเมื่อถึงคราจำเป็น
มักต้องเสียสละตัวเอง ไปส่งเสริมผู้อื่นอยู่เสมอ”
เหยี่ยวเดือนเก้า จาก โกงเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี