หากนายกฯอยากให้มีเลือกตั้งหลังเอเปกจริง นี่ก็คือสมัยการประชุมสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎร กระบวนการทุกอย่างเพื่อเตรียมการเลือกตั้งจึงต้องจบสมัยนี้เท่านั้น ตั้งแต่กฎหมายลูก การสรรหาผู้สมัครของแต่ละพรรค รวมถึงการตั้งพรรคการเมืองใหม่อย่างล่าสุดเมื่อวานนี้พรรคโอกาสไทยของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หรือแม้กระทั่งการรุกหนักของเกมในสภา ของฝ่ายค้าน อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ฝ่ายค้านประกาศแล้วว่าจะเคาะรายชื่อรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้านี้แล้ว ซึ่งถือว่าเร็วมาก จึงนับเป็นครั้งสำคัญก่อนเลือกตั้ง แต่ดูจากฟอร์มอภิปรายงบที่เพิ่งผ่านไป ทั้งเนื้อหาและเสียงในสภา ยังถือว่าฝ่ายค้านยังทำได้ไม่ตามเป้า โดยรวมถือว่าไม่สามารถเขย่าบัลลังก์พลเอกประยุทธ์ได้
นอกเหนือจากเรื่องพรรครัฐบาลที่สามารถควบคุมเสียงในสภาฯ ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ยังเป็นบททดสอบที่สามารถวัดได้ว่า สภาฯ ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์มีความแข็งแกร่ง แต่แม้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะสามารถผ่านด่านมาได้ตลอดสามปีจากเสียงโหวตในสภาฯ แต่หากวัดกันตามหน้างาน ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับรัฐบาลสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะหลังจากนี้เป็นต้นไป
ทีแรกดูเหมือนเรื่องพ.ร.บ.งบประมาณ น่าจะสร้างความกังวลในให้กับรัฐบาลไม่น้อย อีกทั้งยังพบกระแสข่าวเกี่ยวกับปรากฏการณ์งูเห่าในขั้วของพรรคร่วมรัฐบาลที่อาจโหวตสวนพรรคร่วมพรรคอื่นๆ เพื่อให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นก็น่าจะสร้างความหนักใจให้กับพลเอกประยุทธ์อยู่บ้าง
แต่สุดท้ายพรรครัฐบาลสามารถจับมือกันก้าวข้ามผ่านมาได้ พรรครัฐบาลยังคงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันอยู่ แม้จะมีรอยร้าวเกิดขึ้นมาบ้าง แต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะทำให้รัฐบาลล่มก่อนหมดเวลาอย่างที่บางฝ่ายคาดหวังไว้ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งภายในขั้วรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเดินเกมของพรรคภูมิใจไทยที่มีจุดยืนบางเรื่องที่คงไม่ถอยง่ายๆ หรือแม้แต่ร้อยเอกธรรมนัสที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าจะเดินไปในทิศทางใด? จะล้มหรือจะหนุนกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ร้อยเอกธรรมนัสก็คงยังจะเดินอย่างไม่แตกแถว ซึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบารมีของพลเอกประวิตรก็น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของร้อยเอกธรรมนัส ในอีกทางร้อยเอกธรรมนัส ซึ่งจะมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงในสภาฯ ก็มีผลอย่างมากต่อพลเอกประวิตรที่รับผิดชอบคุมเกมสภาเช่นกัน
คำถามที่น่าสนใจคือ ร้อยเอกธรรมนัสจะยังคงเดินร่วมต่อจนจบสมัยหรือไม่ และพอจบแล้วจะมีสส.ย้ายเข้ามาเพิ่มหรือย้ายออกกี่คน?
วิเคราะห์ว่า หากรัฐบาลไม่สามารถไปต่อได้หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางไม่ว่าสาเหตุใด ก็ไม่น่าจะเกิดผลดีต่อพรรคเศรษฐกิจไทยเท่าไหร่นัก ด้วยโครงสร้างพรรคที่ยังไม่พร้อม จากการที่พลเอกวิชญ์ ต้องหลุดจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไป แม่เหล็กดึงดูดความนิยมประชาชนหรือแม้กระทั่ง
สส.เองก็ยังมีไม่มากพอ หรือยังไม่พร้อมสมบูรณ์ หากเกิดอุบัติเหตุทาง
การเมืองขึ้นในตอนนี้ ก็ยากที่พรรคเศรษฐกิจไทยจะตั้งตัวทัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ.ร.บ.งบประมาณไม่ถูกเบรกในขั้นตอนของสภาฯแถมพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ยังได้ที่นั่งในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งในส่วนนี้พรรคเศรษฐกิจไทยได้โควตาไปทั้งสิ้นจำนวน 2 คน ก็นับเป็นครั้งแรกที่ทีมธรรมนัสจะได้ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในกรรมาธิการงบฯที่จะเป็นตัวเอง มิใช่หนึ่งในพรรคสาขาของพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่?
อันที่จริงแม้พรรคเศรษฐกิจไทยจะเป็นพรรคการเมืองตั้งใหม่ อีกทั้งยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่ ดูเผินๆ ในตอนนี้การจัดกระบวนทัพและการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ จึงน่าจะเป็นโจทย์หลักของพรรคเศรษฐกิจไทย แต่จะใช่โจทย์ที่ด่วนที่สุดหรือไม่?
จากปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ลำปาง เขต 4 ที่ดูแล้วน่าจะยังจบไม่ง่าย หลังจากที่นายอิทธิรัตน์ จากสังกัดพรรคเพื่อไทยเสียชีวิตลง และนำมาซึ่งการเลือกตั้งซ่อม ในอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองถึงพื้นที่ความรับผิดชอบแล้ว ก็มีโอกาสที่พรรคเศรษฐกิจไทยจะส่ง นายวัฒนา สิทธิวัง ผู้สมัครคนเดิมลงแข่งขัน
หากย้อนเวลากลับไปในการเลือกตั้งปี 2562 นายวัฒนา ในฐานะตัวแทนค่ายพลังประชารัฐ ก็ได้รับคะแนนจากประชาชนในพื้นที่มากเป็นอันดับสอง รองจากนายอิทธิรัตน์ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ก่อนที่นายวัฒนา จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมครั้งแรกในนามพรรคประชารัฐ แต่กลับถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการเลือกตั้ง จนในที่สุดศาลฎีกามีคำสั่งให้ทำการเลือกตั้งในเขตดังกล่าวใหม่ แต่ส่วนตัวของนายวัฒนาสามารถลงชิงชัยได้อยู่
ซึ่งก็มีโอกาสไม่น้อยที่พรรคเศรษฐกิจไทยสามารถปักธงชัยในสนามนี้ได้ หากพรรคพลังประชารัฐ เลือกที่จะไม่ส่งผู้สมัครลงชิงชัยในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อหลีกทางให้กับเจ้าถิ่นอย่างพรรคเศรษฐกิจไทยหรือไม่?การเลือกตั้งในสนามการประลองนี้ จึงน่าจะเป็นงานที่ด่วนที่สุดสำหรับพรรคเศรษฐกิจไทยมากกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะหากสามารถปักธงชัยในลานประลองได้ ก็ถือว่าเป็นการนำร่องที่ดีและอาจต่อยอดความสำเร็จของพรรคได้ไม่ยากนัก
หลังจากนี้การเดินเกมของแต่ละฝ่าย น่าจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจากการนับถอยหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสิ่งสำคัญในโค้งก่อนสุดท้ายคือ การชิงตัวผู้สมัครและทุนสนับสนุนพรรคการเมือง การสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นจึงจำเป็นมากในตอนนี้ พรรครัฐบาลเอง ก็คงไม่ต้องการที่สูญเสียอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ทั้งเรื่องของผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯที่แม้จะไม่สามารถนำมาอ้างอิงเป็นความนิยมของพรรคการเมืองได้ แต่ด้วยผลต่างของคะแนนผู้ว่าฯ ที่ทิ้งห่าง รวมถึงผลการเลือกตั้งสก. ที่พรรคพลังประชารัฐในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้สก.ในสัดส่วนที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่อาจละเลยต่อผลการเลือกตั้งที่สะท้อนออกมาเป็นภาพความเชื่อมั่นได้ และหากจะต้องการที่จะไปต่อในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า คงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ขึ้นมาใหม่โดยเร็ว ไม่เช่นนั้น เวทีคนเมืองก็อาจส่งผลไปถึงเวทีภูธรหรือไม่? เพราะในอีกซีกกำลังใช้เวทีคนเมืองสร้างผลงานเพื่อดึงความนิยมจากประชาชนจากทั่วประเทศ และความเชื่อมั่นจากสส.ที่จะเข้ามาสังกัดพรรคก่อนเลือกตั้ง
ล่าสุดปรากฏข่าวว่าบิ๊กแห่งค่ายพลังประชารัฐได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ไปพรรคสร้างอนาคตไทย นอกจากนี้ยังมี สส. กรุงเทพฯอีกจำนวนหนึ่งที่มีท่าทีจะย้ายสังกัดไปยังบ้านสีแดง แต่ที่แน่ๆ แม้ในตอนนี้พรรคพลังประชารัฐจะดูมีท่าทีที่อ่อนไหว แต่กลับไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างที่คิด อาจเพราะการแก้เกมของรัฐบาลที่สามารถพลิกสถานการณ์มาได้โดยตลอด รวมถึงคู่แข่งทางการเมืองเองก็ดูจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นต่อมากนัก
กระบวนการในสภาฯ ที่ว่าด้วยเรื่องของการอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณนั้น แม้จะเป็นการอภิปรายรอบแรก แต่ก็น่าแปลกที่ฝ่ายค้านต่างก็ถูกจับทางได้ กระแสข่าวที่ว่าภายในขั้วพรรครัฐบาลอาจมีงูเห่าในการเป็นกำลังโหวตให้ฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเศรษฐกิจไทยที่ในตอนแรกยังดูคลุมเครือ รวมถึงพรรคเล็กที่ยากจะคาดเดา หรือแม้แต่อาจมีสส.ในพรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐก็ตาม แต่กระแสดังกล่าวก็ดูไม่ใกล้เคียงความเป็นความจริง เพราะนอกจากไม่มีประเด็นพรรคดังกล่าวรวมถึงสส.รัฐบาลงดออกเสียงในที่ประชุมแล้ว ยังลงคะแนนเสียงโหวตเห็นด้วยหนุน พ.ร.บ.งบประมาณดังกล่าว ช่วยต่อลมหายใจให้กับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์แบบชิลๆ รวมถึงหากจะไปนับสส.พลังประชารัฐที่ลาออกไปก็เป็นสส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่เลื่อนขึ้นก็เป็นคะแนนเสียงของพลังประชารัฐอยู่ดี
ในทางกลับกันก็ยังพบว่าก็มีฝ่ายค้านโหวตหนุนรัฐบาลเหมือนในครั้งก่อนที่ผ่านมา ศึกในสภาฯ แม้จะมีกระแสความไม่แน่นอนก่อนการโหวตในสภาฯ แต่ในทุกๆ ครั้งที่ดูเหมือนรัฐบาลจะตกที่นั่งลำบาก ก็ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้ ด้วยแรงหนุนในสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นขั้วการเมืองใด หรือพรรคใดก็ตาม ถึงตอนนี้ก็เป็นที่ชัดเจนในระดับหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะอยู่จนครบ และกระบวนการในสภาฯ แม้จะระคายบ้าง แต่ก็ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ หากจะเดินเกมล้มรัฐบาลด้วยกระบวนการในสภาฯ ทำได้โดยไม่ง่าย การเดินเกมนอกสภาฯ จึงอาจกลายเป็นตัวเลือกหรือไม่?
กระแสแลนด์สไลด์ของนายชัชชาติ ผู้ว่าฯกรุงเทพฯ คนใหม่ป้ายแดง ที่สร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ ทำลายสถิติผู้ว่าฯ ที่ได้รับคะแนนการเลือกตั้งจากคนเมืองสูงที่สุด ที่หลายสำนักต่างคาดการณ์ว่า เป็นการเปิดเกมเพื่อพาเพื่อไทยไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ ซึ่งดูผิวเผินแม้จะเป็นการต่อยอดที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่การต่อยอดที่ง่ายดาย หรืออาจต้องมีการปรับแผนกันสักนิด
ว่ากันตามตรงในตอนนี้กระแสโลกออนไลน์ต่างๆ จะพบว่ามีการเปรียบเทียบระหว่างผู้นำ 2 ท่าน ทั้งพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายชัชชาติ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ แต่หากเป็นการตระเตรียมไว้ล่วงหน้าก็ถือว่า เป็นแนวคิดที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่จะมากพอที่จะพาเพื่อไทยไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ได้จริงหรือ?
ในการหาเสียงเลือกตั้งเวที กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา มีการเดินเกมหาเสียงที่แยกกันอย่างชัดเจน นายชัชชาติ ผู้เป็นแม่ทัพ ก็ดำเนินการหาเสียงในส่วนของผู้ว่าฯ ส่วนเพื่อไทย ภายใต้การนำทัพของ แพทองธาร ก็เดินเกมในส่วนของเวที สก. ซึ่งผลที่ออกมาแม้จะได้ในสัดส่วนที่มากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง แต่ในหลายเขตก็ยังแพ้ให้กับพรรคก้าวไกลอยู่ดีรวมถึงยังห่างไกลกับคะแนนของนายชัชชาติอย่างมากประมาณครึ่งหนึ่ง ทั้งที่กระแสในโลกโซเชียลที่คาดกันว่าเพื่อไทยน่าจะกวาดคะแนนจากพรรคก้าวไกลได้ไม่ยาก หลังจากได้ แพทองธาร ที่มีนามสกุลชินวัตร เป็นแม่ทัพคนใหม่ แต่เมื่อเดินเกมจริงๆ ก็ยังไม่สามารถเรียกเรตติ้งได้มากอย่างที่คาดกันไว้
และอาจส่งผลต่อแคมเปญ เพื่อไทยกลับบ้าน ซึ่งก็เริ่มปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่าเพื่อไทย มีโอกาสที่เดินเกมชูอดีตนายกทักษิณ โดยใช้บุตรสาวอย่าง แพทองธาร เป็นตัวนำ เพื่อดึงอดีตบุคลากรทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยกลับสู่อ้อมอกอีกครั้ง แต่ก็คงไม่ใช่งานง่ายเพราะส่วนหนึ่งที่ได้ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐก็อาจไม่กลับง่ายๆ อย่างที่คิดหรือแม้กระทั่งจะออกจากประชารัฐก็ยังมีพรรคอื่นคอยเก็บแต้มอีกมาก นอกจากนี้ครอบครัวสีแดง ที่ย้ายสังกัดไปพรรคภูมิใจไทย ก็ดูมีแนวโน้มที่อาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่?
ขณะที่แรงเหวี่ยงของชัชชาติจากกรณีผู้ว่าฯกทม.ที่ดีเกินคาดจนถึงทุกวันนี้ แต่ดูแล้วแคมเปญ เรียกแดงกลับบ้านดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด และอาจลงเอยด้วยแลนด์สไลด์ที่ไม่ถึงฝั่งฝัน หากยังไม่ปรับกลยุทธ์แม่เหล็กที่วางไว้อาจต้องปรับไปตามยุคสมัยหรือไม่
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ศึกสำคัญสำหรับพรรคเพื่อไทย คงไม่ใช่การโค่นพรรคพลังประชารัฐ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองพรรคเพื่อไทยก็อาจอยู่ในโหมตสุ่มเสี่ยงในเรื่องของกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบเวลานี้จึงอาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะเดินเกมล้มรัฐบาลของเพื่อไทย แต่อาจกลับเป็นการเก็บแต้มกระแสนิยมในอุดมการณ์เดียวกันกลับคืน หรือไม่?
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสความนิยมของรัฐบาลลดลง สวนทางกับกระแสความนิยมของประชนที่มาพอใจรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจที่เป็นเหมือนตัวเร่ง แต่คะแนนเหล่านี้จะตกไปในมือของพรรคฝ่ายค้านพรรคใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่แข่งฐานเสียงเดียวกันกับเพื่อไทยอย่างพรรคก้าวไกล
เช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะกุมคะแนนเสียงในสภาฯ ได้อยู่หมัด แต่สถานการณ์นอกสภาฯ ที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับคะแนนนิยมของพรรค ก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก อีกทั้งหลังบ้านเองก็ดูน่าจะมีเรื่องต้องแก้อยู่ไม่น้อยหากต้องการที่รักษาสถานภาพของพรรคแกนนำ ในตอนนี้อาจถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดระเบียบก็เป็นได้ และไม่แน่ว่าอาจนำมาซึ่งการปรับโครงสร้าง ตลอดจนความชัดเจนของพรรคลูกต่างๆ รวมถึงอาจส่งผลไปถึงการปรับวิถีการเดินเกมใหม่ ในเร็ววันนี้ หรือไม่?
“การอัตวินิบาตกรรม มิใช่เป็นพฤติการณ์ของผู้กล้าหาญ แต่เป็นการกระทำของคนอ่อนแอมิกล้าสู้โลก”
(โกวเล้ง จากนักสู้ผู้พิชิต)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี