เมื่อวานนี้ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาลทั้งสิ้น 11 คน โดยจะขออภิปรายในช่วงกลางเดือนหน้า ซึ่งอาจจะกลายเป็นการอภิปรายใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ที่แปลกคือมีการกำหนดเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เร็วมากขึ้นในปีนี้ ทั้งที่จะต้องมีการอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 และ 3 ในอีกไม่เกิน 2 เดือนอยู่แล้ว ที่การอภิปรายครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วก็ไม่รู้ว่าเพราะกังวลว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือมีความเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ทั้งจากกรณีนายก 8 ปี หรือกรณีอื่นๆ
การเขย่ารัฐบาลจึงทำไปควบคู่กับทั้งการเดินเกมนอกสภาจากการชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่างๆ และรวมถึงการจัดทัพภายในแต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าจะทั้งฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล
แม้จะเป็นบัตรเลือกตั้งแบบสองใบ ที่ดูแล้วพรรคการเมืองขนาดใหญ่จะได้เปรียบ แต่กลับมีการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่จำนวนที่มากขึ้น
ทั้งพรรคของนายกรณ์ ที่แยกตัวออกมาตั้งพรรคกล้า พรรคเศรษฐกิจไทยภายใต้การนำทัพของร้อยเอกธรรมนัส
รวมถึงของนายมิ่งขวัญ ที่แม้จะมีกระแสข่าวจับมือกับร้อยเอกธรรมนัสร่วมงานกันที่พรรคเศรษฐกิจไทย แต่สุดท้ายก็ได้ตั้งพรรคใหม่ที่มีชื่อว่า พรรคโอกาสไทย ที่เพิ่งเปิดตัวไป
การเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ จึงสำคัญ และแม้การเตรียมพร้อมจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยิ่งหมดเวลาไปกับการ
เตรียมความพร้อมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็อาจส่งผลให้เวลาในการสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชนยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น เพราะในขณะที่พรรคการเมืองบางพรรคกำลังจัดระเบียบกระบวนทัพอยู่ ก็มีพรรคการเมืองบางพรรคที่เริ่มที่จะมีผลงานออกมาให้เป็น
ที่ประจักษ์ต่อสาธารณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พรรคก้าวไกลที่กระแสทางการเมืองดูแผ่วลงไปในระยะหลัง จนทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า การนำทัพของนายพิธาจะสามารถแทนที่ นายธนาธร นายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์ได้อย่างไร้รอยต่อหรือไม่? เพราะว่ากันตามตรงตัวของนายพิธาเอง ก็อาจจะดูไม่โดดเด่นและมีแฟนคลับเท่าอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ทั้งสามคน แต่การที่พรรคก้าวไกลดึงนายพริษฐ์หรือไอติมเข้ามามีบทบาทในการวางยุทธศาสตร์พรรคก็อาจทำให้สถานการณ์ของพรรคก้าวไกลมีอะไรดึงดูดใหม่ๆ ขึ้น แต่นั่นเพียงพอแล้วหรือไม่?
แม้ภายในพรรคจะประกอบไปด้วยนักการเมืองหน้าใหม่ ที่มีอุดมการณ์แรงกล้า แต่สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การตัดสินใจของประชาชนนอกจากจะมองไปที่ผลงานในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาของพรรคแล้ว ตัวผู้นำก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากในการตัดสินใจของประชาชน อย่างไรก็ตามในช่วงใกล้โค้งสุดท้ายเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็ถือว่าสร้างผลงานในสภาได้ในช่วงเวลาสำคัญพอดี จากร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตร หรือร่างพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า วาระที่ 1 ที่ได้ผ่านกระบวนการรับหลักการในสภาฯ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ ร่างพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เกือบมีโอกาสที่จะได้ผ่านวาระแรกมาแล้ว เมื่อวันที่2 กุมภาพันธ์ 2565 แต่สภาฯ ดันล่มเสียก่อน
แม้จะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน แต่ก็มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนไม่น้อยที่ลงมติรับร่าง หากพรรคก้าวไกลสามารถผลักดันสุราก้าวหน้าได้สำเร็จ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกลไม่น้อยเพราะทำให้ประชาชนและโดยเฉพาะท้องถิ่นสามารถผลิตสุราเพื่อการบริโภค หรือเพื่อจำหน่ายได้ โดยลดเงื่อนไขให้น้อยลง ท้องถิ่นจึงน่าจะถูกอกถูกใจกับร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นพิเศษ และท้องถิ่นนี้เองคือเป้าหมายทางคะแนนเสียงของก้าวไกลต่อจากคนรุ่นใหม่ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ปูไว้ในภาคแรก
ดูเหมือนโดยรวมแล้วประชาชนจะได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ดังกล่าวก็จริง แต่หากกล่าวถึงในแง่ของพรรคการเมืองที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็น่าจะไม่พ้นพรรคก้าวไกล ที่ได้สร้างผลงานในช่วงเวลาสำคัญ อีกทั้งชื่อเรียกของพ.ร.บ.นั้น มีชื่อพรรคอยู่ เป็นจุดขายที่ให้คนจดจำได้เป็นอย่างดี พ.ร.บ.สุรา “ก้าวไกล” แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่สำคัญกว่าคือการผลักดันให้เกิดการกระตุ้นให้ท้องถิ่นเปลี่ยนทิศทางคะแนนเสียงของตนเอง ที่ครั้งนี้ก้าวไกลทำสำเร็จ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้เกมพลิกมากุมหัวใจชาวท้องถิ่นจากที่ล้มเหลวจากการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปีก่อนได้หรือไม่
อีกหนึ่งพรรคการเมืองที่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะต้องยอมรับว่า หากวัดเฉพาะพรรคที่สังกัดอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว พรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นพรรคที่แข็งแกร่งในหลายๆ ด้าน ทั้งสามารถดึงดูดบรรดา สส. ทั้งภายในรั้วพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งรักข้ามรั้วก็ถือว่าพรรคภูมิใจไทยสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งการที่พรรคภูมิใจไทยก็เริ่มมีผลงานที่เข้าตาประชาชน ในนโยบายไม้เด็ด “กัญชา”?
การผลักดันนโยบายเรื่องการใช้กัญชา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคภูมิใจไทย ที่ใช้ในการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ผ่านมา และเมื่อกัญชาเริ่มที่จะเข้ามามีบทบาทกับประเทศไทยอย่างเปิดเผย ทั้งในแง่ของสังคม เศรษฐกิจ และการใช้ในชีวิตประจำวัน ก็อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ช่วยให้พรรคภูมิใจไทยสามารถปักธงในหัวใจสายเขียวได้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยสามารถรักษาฟอร์มที่ดีไปจนถึงช่วงเวลาในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าได้ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่พรรคภูมิใจไทยอาจได้เป็นหนึ่งในพรรคจัดตั้งรัฐบาลอีกสมัยหรือไม่? และยิ่งหากได้ สส. อีสานของพรรคเพื่อไทยข้ามห้วยมาร่วมวงด้วยแล้ว ก็อาจทำให้พื้นที่ภาคอีสานของเพื่อไทยไม่ใช่ของตายอีกต่อไป ตลอดจนสถานะของพรรคที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปที่พร้อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมในฐานะของพรรคร่วมรัฐบาลเสมอด้วยแล้วก็ยิ่งน่าสนใจว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร
ก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์โหวตสวนมติพรรค รับร่างพ.ร.บ.งบประมาณของฝ่ายค้านบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย จะเป็นการเปิดช่องว่างให้พรรคภูมิใจไทยสามารถยื่นแม่เหล็กแรงสูง เพื่อดึงดูดบรรดาผู้แทนจากต่างพรรคหรือต่างขั้วได้หรือไม่?
โดยเฉพาะในรายของคู่แข่งคนสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทยที่มีถิ่นฐานคะแนนเสียงในแถบภาคอีสาน ในช่วงนาทีทองนี้ หากสามารถดึง สส. จากพรรคคู่แข่งมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้ ก็จะเท่ากับเป็นการลดความแข็งแรงของพรรคคู่แข่งและเป็นการเสริมแกร่งให้กับพรรคตนเองในเวลาเดียวกัน และอาจเป็นการขวางแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากไปอีกหรือไม่?
เพราะเมื่อช่วงหลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์โหวตสวนมติพรรคในเรื่อง พ.ร.บ.งบประมาณฯเพียงไม่นาน ก็พบว่ามีกระแสข่าวหนาหูถึงการย้ายพรรคข้ามขั้ว จากบ้านเพื่อไทย ไปยังบ้านภูมิใจไทย โดยเฉพาะ 3 สส. ภาคอีสาน ที่ได้เปิดตัวขึ้นเวทีกับพรรคภูมิใจไทย และยิ่งตอกย้ำถึงโอกาสย้ายข้ามค่ายขึ้นเมื่อ นางสาวแพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เตรียมที่จะลง
พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ก็คงต้องมารอดูกันต่อไปว่าจะเป็นการลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสส.คนใหม่หรือไม่?
สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่แย่ แต่สถานการณ์โดยรวมก็ไม่ได้เป็นต่อพรรค
การเมืองอื่นๆ มากอย่างที่ประเมินตอนแรกหลังเปิดตัวครอบครัวเพื่อไทย อีกทั้งการย้ายค่ายของอดีตสส.พรรค
เพื่อไทยก็เป็นหนึ่งในเครื่องพิสูจน์ว่า นามสกุลชินวัตรพ่วงท้ายของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังไม่พอที่จะรั้งผู้แทนในสังกัดได้ จนล่าสุดต้องมีการดึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เข้ามาเป็นกำลังเสริมในบทบาท ผอ.โครงการครอบครัวเพื่อไทย
เช่นเดียวกับพรรคใหญ่อีกขั้วอย่างพรรคพลังประชารัฐที่สถานการณ์เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ทั้งเรื่องโครงสร้างของพรรคที่ดูแล้วน่าจะเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดและดูเหมือนจะยังไม่จบง่ายๆ เพราะก็มีกระแสข่าวล่าสุดออกมาว่าพลเอกประยุทธ์ อาจเลือกที่จะเข้าไปกำกับดูแลพรรคพลังประชารัฐด้วยตนเอง ในฐานะหัวหน้าพรรค และลดบทบาท พลเอกประวิตร ให้ไปกำกับดูแลในส่วนอื่นๆ ของพรรคแทน
อาจเพราะด้วยกระแสความนิยมของพรรคพลังประชารัฐที่ในช่วงหลังดูจะแผ่วลงไปบ้าง จนทำให้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรคต้องเร่งหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้นคือการดันพลเอกประยุทธ์ให้ก้าวขึ้นมาอยู่บนหน้าฉากของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับบรรดาลูกพรรค ไม่ให้ย้ายค่ายในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อและอาจเรียกคะแนนให้กับเหล่าผู้นิยมชมชอบพลเอกประยุทธ์ได้ไม่ยากนัก
แม้กระแสดังกล่าวจะพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีโอกาสเกิดขึ้นเพียงน้อยนิดเท่านั้นด้วยความสัมพันธ์ของ 3 ป. ที่ตอนนี้ต้องบอกว่ากลับมาเหนียวแน่นอีกครั้ง พลเอกประยุทธ์ก็คงไม่อาจเข้าไปนั่งเก้าอี้แทนที่พี่ใหญ่หรือไม่?และเอาเข้าจริง แม้การที่พลเอกประยุทธ์เข้านั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคอาจสร้างความเชื่อมั่นกลับมาที่พรรคได้จริง แต่สิ่งที่พรรคได้ก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มเสียต่อพลเอกประยุทธ์หรือไม่ รวมถึงการจัดแถวตามโครงสร้างที่พลเอกประวิตรคุมไว้?
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ การเดินเกมของพรรค 3 ป. อาจต้องเดินไปด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในพรรค ก็ไม่น่าจะเป็นการขยับที่สร้างความตกใจให้กับลูกพรรคมากนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงภายในก็ใช่ว่าจะส่งผลแค่ภายในเพียงเท่านั้น รวมถึงบารมีของพลเอกประวิตรต่อพรรคร่วมฯที่ยังคงจำเป็นอย่างมาก
แต่แม้ด้วยบารมีของพลเอกประวิตรจะเป็นหนึ่งในกำลังหลักที่พารัฐบาลก้าวข้ามอุปสรรคไปต่อได้ในเวลานี้ แต่สำหรับพรรคสำรองที่ได้มีการวางแผนไว้ของ 3 ป. เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นนั้น จะเป็นอย่างไรต่อ? เพราะในตอนนี้ทิศทางของพรรคสำรองสถานการณ์ก็เริ่มที่จะไม่ค่อยสู้ดีนัก
แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะถูกมองว่า ได้มีการสร้างพรรคสาขาไว้สำรอง ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแผนพรรคสำรองที่วางไว้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อพรรคเศรษฐกิจไทยที่ในตอนแรกถูกมองว่าเป็นพรรคสาขาหรือพรรคสำรองของพรรคพลังประชารัฐ แต่ในตอนนี้เวลาก็ได้เฉลยๆ ออกมาแล้วว่า สถานะของพรรคเศรษฐกิจไทย น่าจะไม่ใช่พรรคสำรองของใครอย่างที่คิด และต่อให้เริ่มต้นใช่แต่ตอนนี้อย่างไรก็เปลี่ยนไปแล้ว
นอกจากนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งพรรคอย่างนายเสกสกล ก็เจอเรื่องหวยอลเวงเล่นงานเข้าให้ ซึ่งล่าสุดก็มีกระแสออกมาว่านายเสกสกลได้ลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีโอกาสที่จะหวนคืน
เข้าสู่พรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง
จึงทำให้สถานการณ์ของพรรคสำรองหรือพรรคทางเลือก ถูกตั้งคำถามว่า จะสามารถเดินต่อไปได้หรือไม่? และหากแผนการตั้งพรรคสำรองหรือพรรคทางเลือกต้องถูกยุบโปรเจกท์ ก็คงเหลือทางเลือกแค่ไม่กี่ทาง ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้นคือ การทำให้พรรคพลังประชารัฐกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมที่จะสู้ในศึกทุกสมรภูมิหรือไม่?
นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายในพรรคพลังประชารัฐปัญหาภายนอกก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คอยกระทุ้งรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์อยู่เช่นกัน อย่างในกรณีล่าสุดที่มีการเดินขบวนของมวลชนอิสระ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ เพื่อกดดันพลเอกประยุทธ์ ซึ่งในการชุมนุมดังกล่าวมีการปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ที่มาดำเนินความสะดวกให้กับประชาชน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงที่อุณหภูมิความเดือดที่เกิดขึ้นในท้องถนนนี้จะส่งผลไปถึงศึกซักฟอก ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ให้ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น
แต่ในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับตามตรงว่า ฝ่ายค้านเองก็อาจไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลในศึกซักฟอกได้เท่าไหร่นัก เพราะเมื่อผ่านพ.ร.บ.งบประมาณซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่มาได้แล้วก็ยังสามารถควบคุมคะแนนเสียงไว้ได้ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ก็คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลมากเป็นพิเศษ อย่างมากศึกซักฟอกครั้งนี้หากเกิดบาดแผลก็น่าจะเป็นเพียงแค่แผลถลอกหรือ
รอยฟกช้ำเพียงเท่านั้น แต่หากจะหวังผลถึงขั้นปลิดชีพรัฐบาลก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
ระหว่างทางนับตั้งแต่ปัจจุบันถึงการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต ดูแล้วจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนเวลา ที่เหลือก็แค่รอเลือกตั้ง ที่ตอนนี้ทุกพรรคต้องเร่งสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชน หากต้องการที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้า เพียงเท่านั้น
“การอัตวินิบาตกรรม มิใช่เป็นพฤติการณ์ของผู้กล้าหาญ
แต่เป็นการกระทำของคนอ่อนแอมิกล้าสู้โลก”
โกวเล้ง จาก นักสู้ผู้พิชิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี