การลงพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวานนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่แม้จะบอกว่าลงไปเพื่อติดตามงานของรัฐบาล แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อกระแสเตรียมตัวเลือกตั้งของแต่ละพรรคกำลังคึกคักและเดินสายกันทุกพรรคตอนนี้
ด้วยความที่เชียงใหม่เป็นจุดกำเนิดหรือรังของพรรคไทยรักไทย เป็นบ้านเกิดของอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯ
ยิ่งลักษณ์ จึงถูกมองว่าเป็นพื้นที่ฐานหลักของพรรคเพื่อไทยที่จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาดและที่ผ่านมาก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง การปฏิบัติภารกิจมาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ของพลเอกประยุทธ์ จึงอาจไม่ได้สร้างความกังวลใดๆ ให้กับพรรคเพื่อไทยเท่ากับการขยับของพรรคภูมิใจไทย เพราะแม้จังหวัดเชียงใหม่นี้ก็มีสส.จากพรรคภูมิใจไทยหลุดเข้ามาได้ 1 คน แม้จะบอกว่ามาจากการย้ายพรรคหลังเลือกตั้งก็ตาม
ด้วยกระแสความนิยมของรัฐบาลที่ต้องบอกว่าไม่ได้ดีหรือไม่ได้แย่ไปมากกว่าเดิม แต่ก็ยังคงมีเครื่องหมายคำถามว่า แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ? อีกทั้งท่าทีพรรคพลังประชารัฐในช่วงหลังเอง ที่นอกจากจะดูไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อน ก็ยังมีประเด็นที่ไม่ชัดเจนเรื่องพรรคสาขาหรือพรรคพันธมิตรที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนนี้ว่าจะเอาอย่างไรกันต่อ จะย้ายบ้านหรือขยับแบ่งสัน
กันอย่างไรก็ยังดูลังเลกันไปหมด การลงพื้นที่ใจกลางบ้านเพื่อไทยของพลเอกประยุทธ์จึงไม่ได้เพิ่มและไม่ได้ลดอุณหภูมิการเมืองพื้นที่แต่อย่างใด ผิดกับสมรภูมิจังหวัดศรีสะเกษเมื่อสัปดาห์ก่อนจากการขยับตัวเบาๆของพรรคภูมิใจไทยนิดเดียวเท่านั้น
แม้จะบอกว่าการลงพื้นที่ในแต่ละจังหวัดของพลเอกประยุทธ์ดูแล้วจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากนักเพราะตลอด 7 ปีกว่าของการเป็นนายกรัฐมนตรีก็ลงพื้นที่มาตลอด แต่หลังจากนี้คงไม่ใช่แค่นั้น เพราะไม่ใช่แค่รัฐบาลเท่านั้นที่ลงพื้นที่ พรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ก็ลงอย่างหนัก จนผลโพลล์ล่าสุดที่คะแนนโพลล์ของสำนักหนึ่งว่าผลความนิยมของ หัวหน้าครอบครัว
เพื่อไทยขึ้นมานำหลังจากลงพื้นที่ต่างจังหวัดมาระยะหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ต้องจับตาจึงมากกว่ากระแสความนิยมของประชาชนเท่านั้น แต่อาจถูกมองด้วยผลตอบรับเปรียบเทียบจากประชาชนในการลงพื้นที่เดียวกันนั้นของพลเอกประยุทธ์ และพรรคการเมืองอื่น หรือในช่วงที่มีประเด็นต่างๆ
และก็ใช่ว่ากระแสความนิยมของพรรคพลังประชารัฐจะไปในทิศทางเดียวกับพลเอกประยุทธ์เสมอไป
หลายคนมองว่าตอนนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐ กลับมามีเรตติ้งที่ดี เหมือนกับเมื่อตอนเลือกตั้ง
ปี 2562 จากผลการเลือกตั้งซ่อมในกทม.และผู้ว่าฯกทม.ตลอดจนสก.ล่าสุด ถูกนำไปนับเป็นปัจจัยในการประเมินกระแสความนิยมของพรรคพลังประชารัฐว่าแผ่วลงอย่างมากในช่วงหลัง การลงพื้นที่ในแต่ละครั้งของพลเอกประยุทธ์ จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของพลพรรคแห่งพรรคพลังประชารัฐ ที่หวังจะปลุกคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐให้ฟื้นคืนกลับมาให้มากที่สุด การเดินสายของพลเอกประยุทธ์หลังจากนี้จึงมีความหมายอย่างมาก ต่อพรรคพลังประชารัฐ
ประกอบกับในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้ จะแตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2562 ที่นอกจากเรื่องบัตรเลือกตั้งที่ปรับกติกาใหม่ที่ถูกมองว่าสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองแล้ว ยังมีการจัดระเบียบแบ่งพื้นที่เขตการปกครองเลือกตั้งแบบใหม่ จำนวน สส. เขตจะมีมากถึง 400 คน โดยเฉพาะภาคกลางและภาคอีสาน ที่มีจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นถึงภูมิภาค 16 ที่นั่ง ที่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ซึ่งก็น่าจะทำให้การขับเคี่ยวใน 2 ภูมิภาคนี้ดุเดือดขึ้น โดยเฉพาะในเวทีภาคอีสาน ที่แม้จะมีสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะจังหวัดที่มีการเพิ่มเขต แต่การแข่งขันกลับน่าจะอยู่ที่การแย่งพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทยในเขตพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ภาคกลางภาคตะวันออก มีสัดส่วนสส.ที่เพิ่มกระจายในพื้นที่พรรคร่วม อย่างพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์และชาติไทยพัฒนา ส่วนภาคใต้ที่ดูเหมือนเพิ่มหลายเขตแต่ก็ใช่ว่าแนวโน้มผลจะตกไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์แบบในอดีตอีกแล้ว โดยเฉพะจังหวัดที่ได้เพิ่มเขตก็อยู่ในพื้นที่ช่วงชิงที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยสามารถเจาะได้ การเพิ่มเขตเลือกตั้งแม้จะช่วยลดอุณหภูมิการเมืองในหลายพื้นที่ได้บ้าง แต่ก็อาจจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในคะแนนรวมของแต่ละพรรคได้เลย
แม้การเลือกตั้งจะยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้ แต่อย่างไรก็ไม่เกินต้นปีหน้า พรรคแกนนำหลักอย่างพรรคพลังประชารัฐ นอกจากยังคงไม่อาจไว้วางใจฐานคะแนนเสียงเดิมของตนได้แล้วจนต้องหันมาอาศัยกระแสของพลเอกประยุทธ์ที่ต้องมาแบกไว้ ซึ่งตอนนี้กระแสก็อาจไม่เหมือนเดิมอีกเช่นกัน พลเอกประยุทธ์ก็ยังเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่ว่าจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น ตลอดจนไปถึงการชุมนุมที่กำลังกลับมาอีกครั้งแล้ว ซึ่งสภาวการณ์เศรษฐกิจโลกที่เป็นขาลงจากโควิดและพิษสงครามในยุโรปก็อาจกลายเป็นตัวจุดไฟกลุ่มต่อต้านให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
ซึ่งแม้รัฐบาลชุดนี้จะถือได้ว่าผ่านโจทย์ใหญ่อย่างโควิด-19 มาได้ แต่เสียงชื่นชมพลเอกประยุทธ์ กลับไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คลื่นลูกใหญ่คือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมาเป็นเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปี จะเริ่มมีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้น จนดูเกือบที่จะสงบ ซึ่งถือว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้ดีและลดการสูญเสียได้มากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่การสาธารณสุขเท่านั้น เพราะเมื่อระยะเวลาได้เริ่มผ่านพ้นไปประเด็นในตอนนี้กลับกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจและวิกฤตปากท้องของพี่น้องประชาชนมาแทนที่
วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังดูซบเซา ซึ่งเป็นผลพวงจากวิกฤตโควิด ที่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศโดยตรง ซึ่งไทยนับเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก และแม้จะเริ่มเปิดประเทศเพื่อรองรับการท่องเที่ยว ก็มาประสบกับปัญหาสงครามข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ดูแล้วน่าจะไม่จบง่ายๆ ยิ่งเหมือนเป็นการซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจโลกให้ต้องชะลอตัวไปพร้อมๆ กันต่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่ระบบเศรษฐกิจ ต้องมีการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก
และแม้เราจะเปิดประเทศแล้ว แต่หากการเดินทางมาเยือนของต่างชาติลดน้อยลงหรือจับจ่ายใช้สอยลดลง ก็จะเป็นตัวชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้ล่าช้าออกไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายทางการเงินแบบเข้มกลับกลายเป็นจุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบในตอนนี้เศรษฐกิจไทยจึงยังคงมั่นคงอยู่ได้ ตั้งแต่เรื่องค่าเงิน เรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในสกุลเงินของประเทศไทยยังมีมากพอ อย่างในกรณีของประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวที่ตอนนี้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ สกุลเงินกีบอ่อนค่าอย่างหนักจากเดิม จนดิ่งลงมากว่าครึ่งก็ว่าได้ นอกเหนือจากทองคำ หรือสินทรัพย์ต่างๆ แล้ว สกุลเงินบาทกลับกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ
เพื่อนบ้านที่จะเลือกถือเก็บไว้
ประเทศลาวกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินไหลออก ที่ได้ส่งผลให้ค่าเงินลาวอ่อนค่าอย่างหนักจนเข้าสู่สภาวะขาดทุน
เงินตราต่างประเทศ ประกอบการนำเข้าน้ำมันลดลง ในตอนนี้ทางประเทศลาวมีการนำเข้าน้ำมันอยู่ที่ราวๆ 20 ล้านลิตร
ต่อเดือน ท่ามกลางความต้องการ 120 ล้านลิตรต่อเดือน เมื่อสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการ ราคาน้ำมันลาวแพงเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากสิงคโปร์ ตอนนี้หลายประเทศต่างจับตาว่า จะมีความสุ่มเสี่ยงในการผิดชำระหนี้มากน้อยเพียงใด? จะซ้ำรอยศรีลังกาที่ผิดชำระหนี้ก่อนหน้านี้หรือไม่?
นอกจากประเทศลาวแล้ว ก็ยังมีอีกหลายประเทศทั้งยุโรปและเอเชียที่เริ่มประสบปัญหา ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างค่าเงินวอนของประเทศเกาหลีก็ได้มีโอกาสร่วงไปอยู่ที่ระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 13 ปีมาแล้ว แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้างก็ตามแต่ก็ยังดูไม่เสถียร อีกทั้งค่าเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นเอง ก็ได้เคยร่วงลงมาแตะอยู่ในระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 20 ปีเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งอันที่จริงค่าเงินบาทของไทยก็มีอัตราที่อ่อนค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน แต่ไม่ได้มากนักและไม่ได้ส่งผลร้ายแรงเช่นประเทศอื่น
ส่วนหนึ่งอาจเป็นนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมาตลอด 20 ปีหลังวิกฤตการณ์เงินปี’40 ประกอบกับประเทศไทยยังพอมีศักยภาพในการพึ่งพาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ที่ไม่ต้องอาศัยการนำเข้า อาหาร พลังงาน(บางส่วน) รวมถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้านค่าเงินจึงดูแล้วไม่น่าจะมีผลในระยะสั้น ต่อเรื่องของการค้าระหว่างประเทศในตอนนี้มากนัก และดูจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสินค้าส่งออกโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอาหาร
แม้จะบอกว่า ในสามปีมานี้ เป็นช่วงเงินทุนจากต่างประเทศไหลออก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่หลายโรงงาน หลายโรงผลิตเริ่มทยอยปิดตัวลง จากสภาวะเศรษฐกิจ แต่ปัญหาเงินเฟ้อกลับไม่เห็นผลที่ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ
หากมองในมุมของตลาดทุนของประเทศ อย่างตลาดหุ้นไทยแล้ว ก็ดูจะยังไม่ได้รับผลกระทบที่สูงมาก อาจเพราะสภาวะตลาดหุ้นของประเทศไทย ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ได้มีทิศทางที่จะพุ่งทยานขึ้นสู่จุดสูงมากนัก เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น จึงไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนมากนัก
และแม้ว่าสภาพตลาดจะดูได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของนานาประเทศแล้ว ตลาดหุ้นของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงที่อยู่ในระดับต่ำอยู่ จึงไม่แปลกที่ SET Index จะยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่นักลงทุนต่างชาติ ให้ความไว้วางใจ ในการนำเงินมาพำนักและมาลงทุนอยู่ แม้โดยรวมตลาดจะไม่หวือหวา แต่ด้วยความเสี่ยงด้านค่าเงินถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่แม้จะไม่สามารถกวาดรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเศรษฐกิจของประเทศไทย ก็ยังสามารถไปต่อได้อยู่ แม้เม็ดเงินที่สะพัดอยู่ในตอนนี้ จะไม่ได้มีมากมายก็ตาม
แต่จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดูแล้วน่าจะไม่จบในเร็ววัน ได้กระทบต่อราคาปุ๋ยเคมี ที่ดีดตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การทำการเกษตรของชาวไร่ชาวสวนของประเทศไทยมีสัดส่วนต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยางพารา อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตทางการเกษตรหลักๆ ของประเทศทั้งสิ้น ยังไม่รวมถึงต้นทุนในการปลูกข้าวของชาวนา ที่แต่เดิมมีต้นทุนอยู่ที่ราวๆ 3,000 – 4,000 บาทต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 – 6,000 บาทต่อไร่ สวนทางกับราคาข้าวเปลือกที่ล่าสุดเริ่มมีการปรับราคาลดลงเหลือจาก 8,000 – 9,000 บาท เหลือไม่ถึง 8,000 บาทต่อตัน
สำหรับภาคส่งออกกลับไม่ได้เป็นในทิศทางเชิงบวกอย่างที่คิด แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าดูแล้วน่าจะเป็นผลดีกับการส่งออก
แต่อย่าลืมว่าการอ่อนค่าของเงินเป็นการอ่อนค่าทั้งภูมิภาคเอเชีย ประกอบการอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ก็ได้รวบออเดอร์จากตลาดนำเข้าข้าวสำคัญอย่าง แอฟริกาไปเกือบทั้งหมด ซึ่งก็ต้องมาดูว่ากระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์จะมีการจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไรต่อไป เพราะปัญหาเรื่องราคาสินค้า เป็นโจทย์ยากสำหรับทั้งการส่งออกและราคาสินค้าสำหรับประชาชนในประเทศ ที่ต้องรักษาสมดุลให้ได้ ซึ่งงานนี้ก็กลายเป็นประเด็นการเมืองไปแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาคการท่องเที่ยวจึงถูกบังคับให้กลับมาเป็นความหวังหลักในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น หากภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจหลักยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเก่าโดยไว ภาวะการณ์ปัญหาเศรษฐกิจยืดเยื้อกว่าที่ควรจะเป็น ก็อาจส่งผลถึงคะแนนความนิยมของพลเอกประยุทธ์อีกจริงๆ หลังจากนี้? อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะส่งผลถึงศึกซักฟอกรัฐบาล ในช่วงวันที่ 19 – 22 กรกฎาคม 2565
ก็คงต้องดูกันว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ถาโถมเข้ามาได้หรือไม่? หรือประกายไฟที่เกิดขึ้นจะมีการลุกลามโดยที่ไม่อาจควบคุมได้กันแน่?
“มีคนมากหลายอย่างยิ่ง ไม่ยอมแสดงน้ำใจของตัวเองออกมา โดยเฉพะสตรีที่ตัวเองพอใจ ... อาจบางที เนื่องเพราะพวกมันรู้สึก แสดงความรักจนลุ่มหลงต่อหน้าอิสตรี ไม่มีบุคลิกภาพของชายชาตรีอันเข้มแข็ง อาจบางที เนื่องเพราะพวกมันที่จริงไม่รู้จะกระทำเยี่ยงไร”
(โกวเล้ง จาก ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี