ความที่ “ขี้ใหม่หมาหอม” นี่เอง ข่าวสารเกี่ยวกับ“กัญชา-กัญชง” จึงพรั่งพรูออกมาในช่วงสุญญากาศ โดยเฉพาะข่าวสารในเชิงลบที่เกิดแก่เยาวชนลูกหลานอนาคตของชาติ อย่างที่ “สุทิน วรรณบวร” หยิบเอาประสบการณ์ในชีวิตความเป็นเหี่ยวข่าวยาเสพติดมานำเสนอในคอลัมน์ทวนกระแสข่าว ในแนวหน้าออนไลน์(www.naewna.com)
เราเข้าใจดีว่า “รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข”มีเจตนาดีต่อระบบสุขภาพของประชาชนชาวไทย เหมือนที่นานาอารยประเทศได้ดำเนินการโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แน่นอนเราเชื่อว่านโยบาย “กัญชา-กัญชงเสรี”จักสามารถสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน หากสังคมไทยมีความรู้ความเข้าใจต่อ “กัญชา-กัญชงเสรี อย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐ“กัญชา” กลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่ภาพรวมอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 17,500ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 เติบโตขึ้น 46% นี่คือตัวเลขเฉพาะมลรัฐอิลลินอยส์เท่านั้น
“กัญชา” เป็นไม้ล้มลุกฤดูเดียว และมีสารสำคัญที่เชื่อว่าออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เรียกว่าสาร THC ซึ่งฤทธิ์ของกัญชา เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย จะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และจะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง อาการทั่วไปจะเซื่องซึมลงช้าๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับผลกระทบของสุราและบุหรี่แล้ว ทั้งสองอย่างถือว่าก่อผลกระทบได้มากกว่าอีกทั้งกัญชา ยังมีประโยชน์ทางการแพทย์ จึงทำให้หลายประเทศพยายามผลักดันให้กัญชาไม่ผิดกฎหมาย แต่ให้อยู่ภายใต้การควบคุม
มีรายงานวิชาการหลายชิ้น ระบุถึงประโยชน์ของกัญชาในทางการแพทย์ ที่ช่วยรักษาโรคและบรรเทาอาการได้หลากหลาย อาทิ ลมชัก บรรเทาหอบหืด หรือปวดหัวไมเกรน นอกจากนี้ กัญชายังถูกนำมาใช้เพื่อรักษาผลข้างเคียงโรคมะเร็ง ป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนจากการทำเคมีบำบัด ใช้เป็นสารกระตุ้นความอยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในโรคมะเร็ง และโรคเอดส์ ส่วนในประเทศเสรีกัญชา ยังสามารถใช้สูบช่วยผ่อนคลายได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม กัญชายังมีฤทธิ์ที่ทำให้ผู้ที่เสพปริมาณมากติดต่อกัน มีความคิดเลื่อนลอยสับสนควบคุมตัวเองไม่ได้ หูแว่ว จนถึงมีอาการประสาทหลอน และมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด อีกทั้งมีหลักฐานทางการแพทย์ชี้ว่า การใช้กัญชาระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้เด็กที่คลอดออกมา มีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่าปกติ
เรายืนยันอีกครั้งว่า ไม่ผิดที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขผลักดันเรื่องนี้จนเกิดเป็นผลปฏิบัติจริง แต่ความหลากหลายในความเข้าใจในการศึกษานั้นแตกแปลกแยกกันไป ทำให้เกิดการนำ “กัญชา-กัญชง” มาใช้ผิดวัตถุประสงค์ จนเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดในสถานศึกษา จากเรื่องเล่าของจิตแพทย์เด็กท่านหนึ่งซึ่งต้องถือเป็นเหตุร้ายแรงมาก โดยเฉพาะคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน
ดูกรท่านผู้เจริญ !!! อย่างนี้เรียก “ชิงสุกก่อนห่าม”เหมือนที่ “คณะราษฎร 2475” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจาก “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” เป็น “ประชาธิปไตย” หรือไม่
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “ชิงสุกก่อนห่าม” ว่าเป็นการกระทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา (มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน), ใช้เป็นคำสอนหรือเตือนสติเด็กเยาวชนไทยจนเป็นวัฒนธรรมว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี