เอาเข้าจริงๆ ความสามารถสูงสุดของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อาจคือการโค้งคำนับ “อุ๊งอิ๊ง” ก็เป็นได้ ก็เหมือนกับหัวหน้าพรรคหลายรายที่ถอยหลังย้อนกลับไป ซึ่งได้รับอนุญาตให้เป็นได้แค่ “บริวาร” ไม่ต้องการวิสัยทัศน์ ความเป็นผู้นำ หรือเป็น “หัวหน้าพรรคที่แท้จริง”
ก็ดูอย่างการขอเปิด “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” นี่ดูสิ 1.รีบร้อนเปิดทำไม? มีเรื่องอะไรร้ายแรงเร่งด่วน? 2.เปิดแล้วมีประเด็นอะไรเด่น ลึก และใหม่บ้าง
มาดูบางตอนของการกล่าวเปิดของ “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กันครับ
นพ.ชลน่าน อ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและอภิปรายขยายความในญัตติตอนหนึ่งว่า ความเจ็บปวดและความทุกข์ยากของประชาชนถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่บุคคลชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ความปรารถนาในอำนาจ ความอยากอยู่ในตำแหน่งไปตลอดกาลของนายกฯ คนนี้ การบริหารแบบคุยโวที่ผ่านมาทั้งหมดตลอด 8 ปี คือ ความบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลวของตัวท่านเองแต่เพียงผู้เดียว และความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับประชาชนในขณะนี้มันยากเกินความสามารถเกินสติปัญญาของท่านที่จะแก้ไขซึ่งท่านไม่ควรดันทุรังบริหารประเทศต่อไปอีกแล้ว
“ผมคาดหวังจะเห็นจากนายกฯตระหนักถึงจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ การรู้ผิดชอบชั่วดีว่า ผมนั้นไร้ศักยภาพไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงในการบริหารจัดการแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนคาดหวังว่า อาจถึงเวลาแล้วที่จะเกิดความสำนึกรู้ว่า ตนควรจะยุติบทบาทนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะจารึกถึงความล่มสลายที่ท่านได้ก่อขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ พวกเราคงต้องติดตามดูภาวะผู้นำของนายกฯ คนนี้กันต่อไป” นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกความจริงต้องถูกเปิดเผย ความเสียหายที่สร้างไว้ต้องถูกตีแผ่ ทุกความผิดพลาด บกพร่อง ล้มเหลว การก่อทุจริตต้องถูกเปิดโปง และนำไปสู่การดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม นำคนผิดมาลงโทษเราจะร่วมกันตัดวงจรอุบาทว์ เห็บที่สูบเลือดประเทศเพื่อความอิ่มเอมของตนและพวกพ้องจะต้องถูกกำจัด พรรคร่วมฝ่ายค้านจะขอใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วัน 45 ชั่วโมงอย่างคุ้มค่าทุกวินาที เพื่อหยุดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ หยุดการทำลายชาติ เพื่อชี้ให้สภาแห่งนี้เห็นถึงภัยร้ายที่เกิดขึ้นมาตลอด 8 ปี หวังว่า สิ่งที่พวกเราได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จะทำให้ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า นั่งร้านที่พวกท่านพยายามค้อมหัวยอมเป็น ให้กับรัฐบาลนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง และถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะร่วมมือกันยุติความเสียหายเหล่านี้ และเริ่มต้นใหม่กับรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
อีกทั้งตนขอขอบคุณกลุ่มราษฎรที่เปิดกล่องลงมติไม่ไว้วางใจเป็นมติมหาชน หากเห็นมติมหาชนจะเปลี่ยนใจมาลงมติไม่ไว้วางใจร่วมกับฝ่ายค้าน พล.อ.ประยุทธ์และพวก มีที่มาไร้ความชอบธรรม เข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากประชาชน นั่นคือ การปล้นอำนาจของประชาชนทั้งประเทศซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ ผลักดันตนเองเข้ามาเป็นรัฐบาลเถื่อน ฉีกรัฐธรรมนูญกฎหมายสูงสุดของประเทศ และยังรักษาอำนาจด้วย กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญที่น่าอดสูใจอย่างยิ่ง เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างกองกำลังในสภาให้ซ้ายหันขวาหัน โหวตรักษาอำนาจให้ตนได้ตามอำเภอใจ จนรัฐบาลเถื่อนของตนนั้นอยู่รอด สร้างความล่มสลายให้ประเทศต่อเนื่องยาวนานเกือบ 8 ปี
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ยอมรับเถิดว่า รัฐธรรมนูญปี 60 ที่เกิดจากนิติบริกรที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือกเข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญ จนได้ดั่งใจนั้น เป็นรัฐธรรมนูญที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ ดึงประเทศถอยหลังนับสิบๆ ปี และเป็นมะเร็งร้ายบ่อนทำลายระบอบการเมืองไทย ทำลายประเทศ และอนาคตของลูกหลานของเราทั้งหมด เป็นเพียงเพราะความอยากอยู่ต่อในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์อย่างไร้สำนึก ไร้ความชอบธรรมโดยไม่ใส่ใจต่อความพินาศของเศรษฐกิจสังคมเท่านั้นเองจริง เป็นผู้นำไร้ความสามารถ ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ ใช้ปากบริหารประเทศ เพราะชีวิตของพล.อ.ประยุทธ์อาจรู้จักแต่กองกำลังในค่ายทหาร จึงมักคัดเลือกบุคลากรที่คุ้นเคยเหล่านี้เข้ามาทำงานในด้านต่างๆ แบบผิดฝาผิดตัว เป็นผู้นำที่สร้างความพินาศล้มเหลวให้กับประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การเมือง คอร์รัปชั่นจนระบบประเทศพังพินาศล้มเหลวอาทิ ภาพการพิจารณางบประมาณ ปี 2566 เห็นชัดเจนว่า ช่วงใกล้เลือกตั้งจัดงบกระจุกตัว จัดให้แต่ฝ่ายตนเองและพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด
การลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนที่จะต้องได้รับความยุติธรรมแต่กลับจับติดคุกทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษา บังคับใช้กฎหมายล้นเกิน ดึงสถาบันมาเป็นคู่ขัดแย้ง กล่าวหาคนเห็นต่างไม่จงรักภักดี ทั้งที่จริงตัวท่านเองแอบอิงใช้ประโยชน์เพื่อต้องการอยู่ในอำนาจ การสถาปนาสภากล้วย จงใจเป็นปฏิปักษ์ทำลายระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องนี้ถึงศาลแน่นอน
อีกทั้งยังครอบงำชี้นำพรรคการเมืองที่สมยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก้าวก่ายแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติสั่งการสูตรคำนวณสส.หาร 500 มีการต่อรองทางการเมืองมากมายเพื่อทำงานพรรคการเมืองคู่แข่งให้การยึดอำนาจมาไม่เสียของ เหมือนจับหนูตัวเดียวแต่เผาบ้านตัวเอง ตนยังเชื่อมั่นศาลรัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาล และสส. ท่านใช้วิธีการแบบนี้พรรคกลางและพรรคเล็กตายหมด ตนแนะนำยังมีเวลาไปใช้ศาลรัฐธรรมนูญทักท้วงว่าการแก้ไขมาตรา 23 ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ถึงศาลแน่และจะมีใครบางคนถูกสอย เสียงในสภาฯไม่ชนะศรัทธาประชาชนแน่นอน คนดูถูกอำนาจประชาชนจะถูกสั่งสอนในสนามเลือกตั้ง
“ผมขอร้องไปยังเพื่อนสมาชิก เรามาจากประชาชนต้องคำนึงถึงความต้องการของประชาชน เพื่อประเทศชาติและบ้านเมือง ผมหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพวกเราจะได้มาเจอกัน ณ แห่งนี้ และหวังว่า คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ควรจะไปจากสภาฯแห่งนี้ เพราะท่านไม่เคยให้เกียรติสภาฯแห่งนี้ ไปได้แล้วครับ ท่านอย่าอยู่เพื่อเป็น 608 ทำลายประเทศชาติ”นพ.ชลน่าน กล่าว
คำถามก็คือ แล้วหมอชลน่านไม่ได้ “ซ้ายหันขวาหัน” หรือเป็น “นั่งร้าน” ให้ใครอยู่ใช่ไหมครับ?
สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สภาอุบาทว์ใช้เสียงส่วนใหญ่ปิดกั้นการอภิปรายของฝ่ายค้าน ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ให้คนเสื้อแดง ทหาร ประชาชนอื่นๆ ตาย โดยไม่ได้รับ “กระบวนการยุติธรรม” ไม่ให้สิทธิค้นหาความจริง ตอนนั้นหมอชลน่านได้ “ตระหนักถึงจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ การรู้ผิดชอบชั่วดี” อยู่ไหมครับ?
หมอชลน่านจึงเป็นแค่ “นกแก้ว นกขุนทอง” ที่สักแต่ “อ้าปากพูด” เป็นดั่งช้างม้าวัวควายที่ถูกฝึกให้ “รับคำสั่ง”ท่องบทมาดี แต่ไม่เคยประพฤติในสิ่งที่คน “ตำหนิ”ผู้อื่นในบทนั้นๆ สิ่งที่หมอชลน่านพูดมันจึง “ไม่ขลัง” และ “ประเด็นเก่า” ซ้ำซาก ลากถอยหลังเกินอายุรัฐบาลที่ตนกำลังจะอภิปราย
ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอกกลับมาว่า....
“วันนี้มีปัญหามากมาย ที่ตั้งโจทย์หัวข้อมาหรืออาจจะฟังไม่หมดฟังไม่เข้าใจ เพราะอาจจะใช้อวัยวะข้างเดียวฟัง ไม่ได้ฟังสองข้าง ถ้าฝ่ายค้านพูดมาผมก็ขอพูดบ้าง เพราะค่อนข้างจะพูดรุนแรงอยู่เหมือนกัน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องละทิ้งทิฐิ อคติผลประโยชน์ส่วนตัวไว้ข้างหลัง และยึดถึงประโยชน์ของส่วนรวมคนในชาติเป็นที่ตั้ง ถ้าเรามีความรักสามัคคีกัน ไม่ขัดแย้งกัน ปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมด ถ้ามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวถึง การแก้ปัญหาโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า ได้รับการชื่มชมในสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการ และสามารถเปิดประเทศได้อย่างยั่งยืน ทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจก็ดีขึ้น ซึ่งการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีนี้ มีนักท่องเที่ยวแล้ว 2.2 ล้านคน และโครงการไทยเที่ยวไทย 6.8 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในระบบ 4.3 แสนล้านบาท นี่คือผลงานรัฐบาล ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่ตนเองและรัฐมนตรี ได้ยินมาหลายครั้งและพูดแต่เรื่องเดิมๆ แต่ก็พร้อมชี้แจงในทุกประเด็น
“นายกฯไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ไม่ได้ฉลาดที่สุด เหมือนบางคนที่ท่านบอกฉลาดที่สุด อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนไม่ใช่คนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือวิกฤตต่างๆ ขอให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรม ย้อนกลับไปดูความผิดและคนที่ติดคุก ยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อตนเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องการพลิกโฉมประเทศไทย ทั้งการประกาศวิสัยทัศน์ของประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมทั้งชี้แจงว่า ที่เคยบอกว่า 2 ปีไม่ใช่ต้องการขออยู่ในตำแหน่ง แต่หมายถึง นโยบายต่างๆ ที่วางไว้จะเริ่มเห็นผลออกมา
สำหรับการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือใช้ทหารมาทำงานหากมีความจำเป็นก็ต้องดำเนินการ ส่วนกลไกในสมช.ก็มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบอยู่ในคณะกรรมการทั้งหมด และไปตรวจสอบดูว่า มีทหารอยู่กี่คนในคณะกรรมการชุดที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งสมช.มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง และภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ทุกๆ เรื่อง และมีหน้าที่ในการกำหนดยุทธศาสตร์
“คุณบริหารไม่เป็นเอง คุณไม่ใช้เพราะคุณไม่ไว้ใจเขา ทุกวันนี้ถ้าไม่มีทหารหรือตำรวจดูแล จะนั่งอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ สินค้าราคาแพง จนทั้งแผ่นดิน ทุกคนทราบดีว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และอยากให้ฝ่ายค้านเสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ครู หนี้กยศ. รัฐบาลในอดีตเคยทำหรือไม่”
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า รัฐบาลได้เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดถึง 55 ล้านบัญชี ซึ่งไม่ใช่เป็นการซื้อเสียง แต่เป็นการช่วยผู้ที่มีปัญหาให้อยู่รอดได้ และพัฒนาไปสู่ความพอเพียงและยั่งยืนได้ รวมถึงดูแลผู้ป่วยโควิดและวัคซีนต่างๆ ใช้วงเงินไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
“สรุปแล้วที่ท่านพูดมาทั้งหมดไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ผมจำเป็นต้องพูดตรงนี้ เพราะท่านว่าผมทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง ผมจำเป็นต้องชี้แจงและขอให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ท่านแรงมาผมก็พยายามแรงน้อยกว่าท่าน เพราะผมรู้อยู่แล้วว่า ท่านต้องการให้ผมโมโห ให้เกียรติกัน ดูที่คำพูด ถ้าอยากได้รับเกียรติจากคนอื่น ก็ต้องให้เกียรติคนอื่น ถ้าโจมตีลักษณะให้ร้าย พูดจาส่อเสียด ดูแล้วไม่ใช่สุภาพบุรุษ ผมไม่อยากฟังในสภานี้ แต่ผมให้เกียรติสภา
ผมไม่ได้พูดว่าตัวเองเก่งที่สุด ท่านเป็นหมอฉลาดกว่าผม แต่โชคดีที่ผมไม่ไปรักษากับท่าน และผมก็ทราบดีว่าท่านชื่นชมคนที่ทำงานมาก่อนว่าดีกว่าผม ไม่เป็นไร ก็เอากลับมาให้ได้แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ครับ, บรรยากาศมันก็จะเป็นอย่างนี้แหละครับขาดการตรวจสอบเชิงลึก ผลิตวาทกรรมเข้าห้ำหั่นกันและเอาใจกองเชียร์ของตนเอง รอดูอีกทีว่า เมื่ออภิปรายลงลึกจะมีเนื้อหาที่สะท้อนคุณภาพของ “ฝ่ายตรวจสอบ”ให้สมกับที่เป็น “การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย”ในรัฐบาลนี้บ้างหรือไม่ รอชมครับ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี