การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือการอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายของสภาชุดนี้ในสโลแกนที่ว่า “เด็ดหัวสอยนั่งร้าน”
ฟังการอภิปรายในวันแรกพอสรุปได้ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่มีหมัดน็อก หรือ ประเด็นใหม่มาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับนั่งร้านและรัฐบาลโดยรวมได้แม้แต่น้อย เพราะเหตุว่าบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ประสบปัญหาเลือดไหลที่ สส.พากันย้ายพรรคไปอยู่ที่ใหม่
การอภิปรายเลยเน้นโจมตี พลเอกประยุทธ์และพรรคนั่งร้าน ที่ สส. จากฝ่ายค้าน หลั่งไหลไปอยู่ในค่ายซึ่งกลายเป็นการเสริมฐานนั่งร้านให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และอาจเป็นไปได้ว่า นั่งร้าน ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านรุมกันกินโต๊ะในวันแรกของการอภิปราย อาจยกระดับกลายเป็นตัวอาคาร หลังการเลือกตั้งรอบใหม่ นั่งร้านที่ว่าคือ “พรรคภูมิใจไทย”
เท่าที่ติดตามการอภิปรายวันแรกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และ พรรคประชาชาติ รุมกันโจมตีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล อย่างเอาเป็นเอาตาย อาจเป็นเพราะเหตุว่าสส. จากพรรคเพื่อไทย ก้าวไกลและ พรรคประชาชาติ บางคนย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย และ พิเคราะห์จากการอภิปรายเป็นไปได้ว่า สส. จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะแปรพักตร์ไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย เพิ่มขึ้นอีกหลายรายในอนาคตอันใกล้นี้
และพิเคราะห์จากพฤติกรรมของผู้เป็นประธานสภาขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปราย ซึ่งเปรียบเทียบได้เหมือนฟุตบอลสองทีม กำลังแข่งขันกันในสนาม ที่แฟนฟุตบอลมองออกว่ากรรมการใจดีเกินไป หรือ ออกจะโอนเอียงเข้าข้างอีกฝ่าย คือ กรรมการไม่ยอมเตือน หรือให้ใบเหลืองนักบอลที่เล่นนอกเกม เล่นแรงเหยียบข้อเท้าคู่แข่ง หรือยกขาเตะสูงเกินไป
กรรมการ หรือ ประธานในที่ประชุม ปล่อยให้ผู้อภิปรายดูหมิ่นดูแคลน นายกรัฐมนตรีในคำว่า“พิการทางสมอง ทำให้ประเทศชาติพินาศ นายกฯบกพร่องทางบุคลิกภาพ เป็นผู้นำที่เหมือน 608 (คนที่มีโรคเรื้อรังรุมเร้า) คำพูดดูหมิ่น หยาบคายติดไปทางกักขฬะ แต่ดูเหมือนว่า มันเป็นความสะใจของประธานในที่ประชุมไปด้วย
ที่ชัดเจน คือ ตอนที่ สส. พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานที่ปล่อยให้ สส.หญิงพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีผู้อภิปราย แต่ประธานก็วินิจฉัยว่า สส.หญิงคนนั้นอภิปรายได้เพราะอยู่ในประเด็นไม่ไว้วางใจ ทั้งๆ ที่สส.พรรคภูมิใจไทย ประท้วงถึงสองครั้ง ถึงได้พูดว่ากรรมการไม่ให้ใบเหลืองนักบอลที่เล่นผิดกติกา หรือเล่นแรงเกินไป
ผู้อภิปรายจากพรรคเพื่อไทย ก้าวไกลและพรรคประชาชาติ รุมกันถล่มนายอนุทินในประเด็นกัญชาเสรี แต่อภิปรายไปอภิปรายมา จับประเด็นไม่ได้ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านสนับสนุนหรือคัดค้านกัญชาเสรี เพราะทั้งสส.ก้าวไกล เพื่อไทย และพรรคประชาชาติเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ทั้งสามอภิปรายว่า กัญชามีประโยชน์มากมาย เมื่อนำมาใช้เป็นยา แต่ติดขัดอยู่ที่ว่า ไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเยาวชนนำไปใช้ทางนันทนาการ เสพกัญชาเพื่อการบันเทิง
สส.จากพรรคก้าวไกล อภิปรายว่าการปลดล็อกกัญชา ออกจากบัญชียาเสพติด ขัดกับอนุสัญญาเดี่ยวของสหประชาชาติ เขาเน้นว่า เมื่อขัดกับอนุสัญญาเดี่ยว อาจทำให้ประเทศไทยถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติกว่า 190 ประเทศ ทำให้ประเทศไทยเสียหาย ค้าขายกับใครไม่ได้ ฟังแล้วน่าตกใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า อนุสัญญาเดี่ยวมันเป็นอีหยังวะ?
แต่เมื่อนายอนุทินชี้แจงข้อกล่าวหาของพรรคฝ่ายค้านที่รุมกันถล่มทั้งหมดได้และพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นายอนุทินชี้แจงในสภาเหมือนการแถลงนโยบายซ้ำและพูดถึงความสำเร็จของกระทรวงสาธารณสุข ที่บุคลากรทางการแพทย์ทุกภาคส่วนตั้งแต่แพทย์ พยาบาล อสม.ร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19 มาได้ ประเทศไทยได้รับการยกย่องว่า ประสบความสำเร็จเป็นอันดับห้าของโลกและเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย
นายอนุทินเอาตัวรอดได้สบายๆ เรื่องกัญชา เพราะผู้อภิปรายส่วนใหญ่เห็นดีเห็นงามกับการนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ ส่วนการควบคุมไม่ให้ใช้กัญชาผิดประเภทนั้น ขณะนี้ พ.ร.บ.ควบคุมการใช้กัญชาอยู่ระหว่างพิจารณาในสภา และมีทุกฝ่ายรวมทั้งผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายอนุทินก็ร่วมเป็นกรรมาธิการจึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุม ไม่ให้ใช้กัญชาผิดประเภทผิดกฎหมายได้
ด้านนายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ อภิปรายโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นตัวตลกในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทย ไม่เคยฟังใคร เก่งอยู่คนเดียว รัฐบาลผิดพลาดในการป้องกันโควิด มีการล็อกดาวน์ ปิดเมืองจนสร้างความเสียหาย...
รัฐบาลนี้จงใจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย สร้างความอัปยศอดสู ก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ เป็นความผิดที่ร้ายแรง ทำลายหลักการพื้นฐานประชาธิปไตย ชี้นำพรรคการเมืองให้แก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง จากหาร 100 เป็นหาร 500 นายชลน่านเปรียบเทียบเหมือนแม่วัว ที่มีคนไปผสมพันธุ์ให้ลูกออกมาเป็นควาย
นายชลน่านยังอภิปรายว่าพล.อ.ประยุทธ์สร้างความพินาศทางการเมือง เราต้องช่วยกันเด็ดหัวและ สอยนั่งร้านที่เป็นเหมือนเห็บเหา เป็นพวกปรสิต
นพ.ชลน่านกล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์สร้างความพินาศด้านการเมือง ระบบรัฐสภาถูกทำลายย่อยยับ พลเอกประยุทธ์ สถาปนาสภากล้วย ขึ้นมา มีการใช้เงินแลกเสียงโหวตทุกครั้งที่มีการลงมติที่สำคัญๆ การโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยตัวเลขอยู่ที่หลักล้านนายกฯจงใจเป็นปฏิปักษ์ทำลายระบบรัฐสภา...
“เรื่องนี้น่าอัปยศอดสูที่สุด เราแบ่งแยกอำนาจการปกครอง เราจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกันฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมาย ท่านไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงสั่งการตามที่ท่านต้องการได้....
นายชลน่านอภิปรายด้วยว่าพลเอกประยุทธ์ สมคบกับพรรคร่วมรัฐบาลเอากล้วยล่อใจ สส.ให้ย้ายพรรคมาเสริมฐานรัฐบาล เพื่อให้ได้เป็นนายกฯต่ออีกสองปี นอกจากนั้นผู้นำพรรคฝ่าย ยังด้อยค่าพลเอกประยุทธ์ และ ยกย่องคนแดนไกล
พลเอกประยุทธ์ ลุกขึ้นมาชี้แจงว่า“ผมไม่เคยพูดว่าจะอยู่ต่ออีกสองปี ที่แถลงทางทีวีนั้นผมเพียงแต่พูดว่าโครงสร้างต่างๆ เช่น อีอีซี จะผลิตดอกออกผลในเวลาอีกสองปี...
..หลายอย่างที่ท่านพูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริงผมยืนยันไม่ใช่ข้อเท็จจริง...การจัดอันดับลดลง ต้องดูสาเหตุ มันลดลงตรงไหน กี่ข้อและอะไรดีขึ้น อะไรแย่ลง เพราะอะไรท่านเป็นบุคลากรทางการแพทย์ฉลาดอยู่แล้ว โชคดีที่ผมไม่ได้ไปรักษาอะไรกับท่าน #ท่านว่าผมมีอาการพิการทางสมอง ผมโชคดี ถ้าเป็นก็รักษากับท่านไม่ได้”
...หลายเรื่องที่ท่านพูดมา การใช้กลไกทหารมาทำงาน ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มันจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกสมัยใครเป็นนายกฯ(สมัยทักษิณ-ผู้เขียน)เอามาเป็นประโยชน์ได้ไหม ถ้าไม่ละเมิดคนอื่นก็ใช้ประโยชน์ได้...
“ผมไม่ได้พูดว่าตัวเองเก่งที่สุด ท่านเป็นหมอฉลาดกว่าผม แต่โชคดีที่ผมไม่ไปรักษากับท่านถ้าอยากได้รับเกียรติก็ต้องให้เกียรติผู้คนอื่น ท่านบอกว่ามีคนอื่นเก่งกว่าผม ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ #เอากลับมาให้ได้แล้วกัน..”
สรุปว่าหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านโจมพลเอกประยุทธ์เรื่องเก่าๆที่เคยอภิปรายมาหลายครั้งแล้ว
นายชลน่านใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงยี่สิบห้านาทีจนไม่มีเรื่องจะพูดต่อ ต้องไปขุดเอาประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเมื่อครั้งถวายสัตย์ปฏิญาณขึ้นมาเล่าใหม่อีกครั้ง
การอภิปรายของฝ่ายค้านที่ไม่มีอะไรใหม่ ทำให้นายอนุทินมั่นใจถึงกับพูดว่าต้องได้รับการไว้วางใจถึง 270 เสียงแน่นอน
ประเมินจากอภิปรายและท่าทีของ สส.ในสภา คอลัมน์นี้ทำนายว่ารัฐบาลจะได้รับความไว้วางใจมากกว่า 270 เสียง เพราะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของสภาชุดนี้ดังนั้นสส.จากพรรคฝ่ายค้านที่ยังไม่ประกาศตัวว่าจะย้ายพรรคก็แสดงออกได้ในการลงมติจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ต้องทำตัวเป็นอีแอบอีกต่อไป
สส.พลังประชารัฐ ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ#ก็ไม่ต้องฝากสั่งสอนนายกฯไปกับคนอื่นอีกต่อไป เปิดหน้าลาจากกันในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของสภาชุดนี้เสียเลยดีไหม
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี