วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เริ่มมีแพทย์บางท่านออกมาพูดแล้วว่าในที่สุดโรคโควิด-19 ที่เกิดจากเชื้อไวรัสโอมิครอน สายพันธุ์ BA.5 ก็จะเป็นโรคที่คนทุกคนต้องติดเชื้ออย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อพิจารณากันจริงๆ แล้วโอกาสของความเป็นไปได้ก็มีอยู่สูงมาก โดยสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทางด้านสาธารณสุข รวมทั้งการดำเนินชีวิตทางสังคมต่างๆ ตลอดจนถึงการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างสะดวก โดยคาดหวังว่าจะทำให้เกิดการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งในอดีตนั้นมีจำนวนมหาศาลในแต่ละปีให้กลับคืนมา อันจะเป็นประโยชน์ในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศทั้งด้านมหภาคและจุลภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งในขณะนี้
ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของโรคโควิด-19 ในระยะที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มพบว่าจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เคยลดลงต่ำกว่า 2,000 รายต่อวัน ก็กลับพบว่าตัวเลขเริ่มกลับมาเกินกว่านั้นวันละ 300-400 รายเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นการนับจำนวนเฉพาะผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่รวมผู้ติดเชื้ออีกจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมากกว่า 10-20เท่าของจำนวนที่รายงานอยู่ ที่ได้รับการรักษาโดยการทานยาและพักรักษาตัวที่บ้าน ตามแนวทางเจอแจกจบ และตัวเลขของผู้เสียชีวิตรายวันก็กลับมาเกินระดับ 20 รายต่อวัน โดยมีผู้ป่วยหนักอยู่ที่ระดับประมาณ 800-900 ราย และหากไปดูตัวเลขของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในต่างประเทศก็จะพบว่า ประเทศสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยรายใหม่ที่ระดับ 1 แสนรายต่อวัน ส่วนในทวีปยุโรปประเทศฝรั่งเศสมีผู้ป่วยรายใหม่มากสุดที่ระดับ 80,000 รายต่อวัน และในทวีปเอเชียนั้นประเทศญี่ปุ่นครองอันดับ 1 ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยมีจำนวนนับแสนรายต่อวัน
ต้องถือว่าเป็นโชคดีของพลเมืองโลกที่เชื้อโคโรนา 2019 ที่ระบาดอยู่เกือบจะทั่วโลกในขณะนี้นั้น เป็นสายพันธุ์โอมิครอน BA.5 เป็นหลัก ซึ่งเชื้อตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง ยกเว้นในผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบตามเกณฑ์ รวมทั้งประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวที่เรียกว่ากลุ่ม 608 ซึ่งปัจจุบันนี้หลายๆ ประเทศก็ได้ให้ความสำคัญต่อการให้ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดน้อยลงเป็นอย่างมาก โดยให้ดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน ตลอดจนยาที่ใช้ในการรักษานั้นก็อาจจะหาซื้อได้โดยไม่ยากตามร้านขายยาทั่วไป จึงเป็นเรื่องที่ทำให้การดำเนินชีวิตกลับมาสู่สภาพปกติมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางโดยเครื่องบินไปยังจังหวัดภูเก็ต โดยการไปขึ้นเครื่องบินโดยสารที่สนามบินดอนเมือง ถึงแม้จะยังมีการกำหนดมาตรการต่างๆ อยู่บ้างในลักษณของการแนะนำและขอความร่วมมือ แต่ก็พบว่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งมีจำนวนมากพอสมควรแล้วนั้น เขาเหล่านั้นได้ผ่อนคลายวิธีปฏิบัติของตัวเองในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย หรือการนั่งเกาะกลุ่มพูดคุยกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย เป็นจำนวนไม่น้อยและในส่วนของคนไทยเองนั้นก็เริ่มเห็นผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยขณะที่เดินอยู่ในสนามบิน โดยไม่มีการแนะนำหรือห้ามปรามของเจ้าหน้าที่ของสนามบินแต่อย่างใด ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่มาตรการต่างๆ ได้ถูกปลดล็อกออกเกือบจะทั้งหมดแล้ว
แต่ก็ยังดีที่พบว่าขณะนั่งโดยสารบนเครื่องบินนั้น ผู้โดยสารทั้งหมดยังคงสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ และขณะที่จะลงจากเครื่องบินนั้น ทั้งๆ ที่พนักงานต้อนรับการบินได้ประกาศขอความร่วมมือในการลงจากเครื่อง โดยแบ่งให้กระจายลงเป็นกลุ่มตามแถวที่นั่งประมาณ 5-10 แถว ก็พบว่า ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อย ไม่ได้เชื่อฟังในสิ่งที่ได้รับการร้องขอ โดยไม่นั่งประจำที่ ในขณะที่พนักงานต้อนรับยังไม่ได้เรียกเชิญให้ลุกขึ้นเพื่อเก็บสัมภาระและลงจากเครื่องบิน จึงดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นการร้องขอนั้นไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
ฉะนั้นหากจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะกลับขึ้นมาเป็นจำนวนมากอีกครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกินการคาดเดาแต่อย่างใด เหตุการณ์ของการโดยสารเครื่องบินเป็นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าประชาชน ให้ความสนใจในการดูแลตนเองน้อยลงกว่าปกติ และมีสิ่งที่เรียกว่า “ทำตามกัน” มากยิ่งขึ้นซึ่งเท่ากับการยอมรับหากจะมีการติดเชื้อไวรัสนี้และมีอาการป่วยเกิดขึ้น โดยเชื่อว่าวัคซีนที่แต่ละคนได้รับไปนั้นสามารถจะป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรงได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงพอสมควรตามที่ได้รับทราบกัน
จึงต้องขอย้อนกลับมาดูเรื่องจำนวนของผู้ได้รับการฉีดวัคซีนในประเทศของเราอีกครั้งหนึ่งก็จะพบว่า จำนวนของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ซึ่งหมายความว่าได้รับ 2 เข็มตามเกณฑ์มาตรฐานรวมกับเข็มกระตุ้นอีก 1 เข็มแล้วนั้น มีอยู่เพียงแค่ประมาณ 43 เปอร์เซ็นต์ โดยขณะนี้ยังมีผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในกลุ่มที่มีข้อบ่งชี้เป็นจำนวนพอสมควร โดยตัวเลขเมื่อ 2 วันที่ผ่านมามีผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็ม ประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม ประมาณ 76 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์ก่อนมากนัก โดยหากนับจำนวนของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนในแต่ละวันทั่วทั้งประเทศ จะพบว่ามีอยู่เพียงจำนวน 5-6 หมื่นรายเท่านั้น ทั้งๆ ที่ขณะนี้ การเข้าถึงและรับการฉีดวัคซีนสามารถทำได้โดยสะดวกมากก็ตาม
จากความเป็นจริงที่จำนวนของผู้ติดเชื้อมีเพิ่มมากขึ้นนั้น ทำให้ภาครัฐซึ่งต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาประชาชนเป็นจำนวนมากมายนั้น ต้องปรับวิธีการให้ผู้ที่ติดเชื้อและมีอาการเพียงเล็กน้อยและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ได้รับการรักษาโดยการทานยาและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 7 วัน ส่วนอีก 3 วัน สามารถออกไปทำงานได้ แต่ต้องปฏิบัติตนตามแนวทางการดำเนินชีวิตวิถีใหม่อย่างเคร่งครัด โดยได้ดำเนินการให้การเข้ารับยาเพื่อรักษาเป็นไปได้โดยความสะดวกมากขึ้น กล่าวคือเมื่อมีอาการ และตรวจพบด้วยชุด ATK ว่าติดเชื้อจริงก็สามารถเข้ารับยาได้จากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งขณะนี้หากตรวจพบว่าติดเชื้อโดยไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ก็ไปขอรับยาจาก สถานพยาบาลโรงพยาบาล หรือแม้แต่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอแจกจบได้
โดยผู้ติดเชื้อจะไดัรับยาชุดมาตรฐานคือฟ้าทะลายโจร หรือฟาวิพิราเวียร์ ร่วมกับยารักษาตามอาการอื่นๆ และขณะนี้ได้ขยายให้ผู้ป่วยสามารถรับยาได้จากคลินิกของเอกชนด้วย โดยแพทย์ประจำคลินิกสามารถจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ซึ่งเป็นยาที่ช่วยป้องกันอาการหนักและเสียชีวิตได้เกินกว่า 50% ในผู้ติดเชื้อได้ โดยสามารถจ่ายให้กับผู้ติดเชื้อที่สูงอายุเกิดกว่า 60 ปีและผู้ที่อยู่ในกลุ่ม 608 ที่มีอาการและสมควรได้รับยาตามการวินิจฉัยและพิจารณา ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะทำให้การเข้าถึงยาของผู้ติดเชื้อที่มีอาการหลายระดับทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม อันจะลดความแออัดที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเป็นอย่างมากลงได้อีกด้วย
ในส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งประชาชนจำนวนหนึ่งรู้จักชื่อของยานี้มากพอควรแล้ว และทราบว่าเป็นยาที่สามารถใช้รักษาได้ดีกว่ายาที่เคยใช้อยู่ แต่ว่ามีราคาแพงและไม่ได้หาซื้อได้ทั่วไป
ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้สั่งยาจากต่างประเทศผ่านบริษัทจัดจำหน่ายในประเทศไทยอย่างน้อย 3 บริษัท ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยาที่มาจากประเทศที่ได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวให้สามารถผลิตยาได้ โดยมีต้นทุนที่ถูกกว่ายาที่มาจากประเทศผู้พัฒนาโดยตรง ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในส่วนนี้น่าจะลดลงได้พอสมควร และอาจสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงยานี้ได้เองในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าจะมีการประกาศให้ใช้ยานี้ได้ ไม่ใช่เฉพาะในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น คือสามารถจะรับยาได้โดยไม่ต้องผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนเท่านั้น แต่อาจจะซื้อได้จากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ ซึ่งมีความรู้และความสามารถเรื่องยาเป็นอย่างดีได้ด้วย
การออกประกาศโดยภาครัฐให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นอย่างเป็นทางการคงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะโดยสภาพปัจจุบันประชาชนทั่วไปรู้จักและเข้าใจถึงโรคนี้เป็นอย่างดีพอสมควร และหากติดเชื้อมีอาการเกิดขึ้นและเข้ารับการรักษาได้โดยสะดวก ก็ไม่มีเหตุผลความจำเป็นในการประกาศเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งมีเกณฑ์กำหนดไว้ เพราะถึงอย่างไรจากข้อมูลปัจจุบันประเทศไทยก็ยังไม่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานตัวนี้ได้
การป้องกันตัวเองจากการเป็นโรค ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม ยังถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ สำหรับโรคโควิด-19 นั้น การป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยที่มิดชิด การรักษาระยะห่างระหว่างคนโดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักรวมทั้งการหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากเรื่องการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์มาตรฐาน รวมทั้งการฉีดเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำ ยังคงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะตัวเองแต่ยังรวมไปถึงคนใกล้ชิดด้วย จึงควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตลอดไป
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

‘คุณน้ำผึ้ง’เที่ยวเจาะลึก Unseen สามพันโบก
‘หนุ่ม-แท่ง’ พาทัวร์ ‘วัดสารนารถธรรมาราม’ สักการะคุณแม่บุญเรือน อร่อยกับอาหารทะเล จ.ระยอง
‘ลุค อิชิคาว่า’ นำทีมนักแสดง ‘Rock and Soul จังหวะร็อก ปาฏิหาริย์รัก’ เปิดคาแรกเตอร์ในจอ สู่ตัวจริงนอกจอ
‘มิตรรัก ทั่วไทย’ พาเที่ยวเมืองโอ่งมังกร จ.ราชบุรี
'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี