ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ใกล้ชิดเป็นลูกรักของป๋า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นคนที่ป๋าไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง
ดร.ไตรรงค์ เป็นนักการเมืองที่ผู้เขียนเคารพศรัทธาในความรู้ความสามารถ มีอุดมการณ์และวาทกรรมอันแหลมคมของท่านชนิดที่เรียกว่า คนที่ถูก ดร.ไตรรงค์ด่าจะนั่งหัวเราะไปฟังท่านด่าสั่งสอนไปอีกสามวันถึงสำนึกว่าท่านด่านี้หว่า
ดร.ไตรรงค์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “พรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเหมือนด่าอดีตสองนายกรัฐมนตรีของไทย”
ผู้เขียนนั่งฟังอภิปรายวันแรกยังสงสัยว่าผู้นำฝ่ายค้าน นายชลน่าน ศรีแก้ว ด่าใครที่ว่าโง่ สมองพิการพิการทางปัญญา เหมือนคน 608 (คนชราที่มีโรครุมเร้า) ทำให้ประเทศชาติพินาศ ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่มีวิสัยทัศน์ ทำให้เศรษฐกิจของชาติล่มสลาย
ฟังตอนแรก ยังสงสัยว่าแกนนำพรรคฝ่ายค้านด่าใครแต่พอเห็น สส.หญิงอภิปรายตอกย้ำคำพูดของผู้นำฝ่ายค้านและเมื่อจบการอภิปราย สส.คนนั้นได้นำกระจกไปฝากให้พลเอกประยุทธ์ใช้ส่องหน้า เลยถึงบางอ้อว่า ที่ สส.ฝ่ายค้านที่ด่า พลเอกประยุทธ์โดยไม่กระดากปากนั้น เพราะสส.ฝ่ายค้านท่านไม่เคยเอากระจกส่องหน้าตัวเอง แถมตอนอภิปรายด่านายกฯกลับพูดออกมาว่าคนที่ชี้หน้าด่าผู้อื่นสามนิ้วที่เหลือจะกลับมาชี้หน้าด่าตัวเอง
คำพูดที่ฝ่ายค้านด่าว่าโง่ พิการทางปัญญา โกงมาก ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ทำให้คนรุ่นต่อไปต้องใช้หนี้ไปถึงลูกถึงหลานนั้น ทำให้เราถึงบางอ้อว่าสส.พรรคเพื่อไทยด่าใครเพราะในยุคไอทีกดไปดูในกูเกิลคำว่าโง่ก็มีชื่ออดีตนายกรัฐมนตรี โผล่ขึ้นมาบอกว่าเป็นใคร
และที่ชัดเจนว่า ดร.ไตรรงค์ ทำนายเหตุการณ์ได้ล่วงหน้าแม่นยำ ก็ตอนที่ สส.พรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ อภิปรายโจมตีพลเอกประยุทธ์ว่า ทำให้ประเทศชาติพินาศ นำพาประเทศไทยให้ลงเหวแห่งความหายนะ กู้เงินมาผลาญ ไม่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนพลเอกประยุทธ์ ทำให้ประเทศไทยเศรษฐกิจกำลังล่มสลายเหมือนในประเทศศรีลังกา
นายจุลพันธ์ ยังเปรียบเทียบด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ และคณะสาม ป. เหมือนตระกูล ราชปักษา ในศรีลังกา ที่สุมหัวกันโกงชาติจนเศรษฐกิจล่มสลายพังพินาศวอดวายลง ให้เห็นต่อหน้าต่อตา จนประธานาธิบดีศรีลังกาถูกมวลมหาประชาชนขับไล่ต้องหนีตายไปต่างประเทศ
การเปรียบอย่างนี้ เชื่อว่าผู้อภิปรายตีวัวกระคราด ด่า พลเอกประยุทธ์บังหน้า แต่ลึกๆ แล้วตั้งใจจะด่าอดีตนายกรัฐมนตรีสองศรีพี่น้อง ที่เรียกกันติดปากว่า ตระกูลสัมภเวสีหนีคุก เพราะเป็นตระกูลที่มีพฤติกรรมเหมือนกันจริงๆ กับตระกูลราชปักษา
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของศรีลังกา ถึงกับเอ่ยปากว่าศรีลังกามีแต่ราชปักษา หรือไง ทำไมตำแหน่งสำคัญส่วนใหญ่ในรัฐบาลจึงมีแต่ตระกูลราชปักษา
บัดนี้ ประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา ถูกประชาชนขับไล่ พาศรีภรรยาที่หนีจากศรีลังกาหนีตายไปมัลดีฟส์ ก่อนออกเดินทางต่อไปสิงคโปร์และไม่นานไม่ช้าเชื่อว่า มีอีกหลายราชปักษา หนีตามๆ กันมาเหมือนตระกูลสัมภเวสีหนีคุกของไทย
สัมภเวสีหนีคุกสามพี่น้องของไทย พี่สาวคนโตผู้มีบทบาทสำคัญอยู่หลังหนีออกจากประเทศไทยเหมือนเป็น วัวสันหลังหวะ ส่วนน้องชายคนกลางกับน้องสาวคนเล็กถูกมวลมหาประชาชนขับไล่เพราะทุจริตคอร์รัปชั่น ปล้นชาติปล้นแผ่นดิน โกงชาติอาฆาตพยาบาทสถาบัน แม้ถูกประชาชนขับไล่แต่ยังดึงดันยืนยันอยู่เป็นรัฐต่อไปเหมือนตอนยังไม่ยุบสภา ดึงดันเป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วว่า การเลือกตั้งทั่วไป 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะ ดึงดันเป็นรัฐบาลต่อท่ามกลางการประท้วงวุ่นวาย จนทหารทนไม่ได้ลุกขึ้นมายึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสี ก่อนหน้านายโกตาบายา ราชปักษากว่า 15 ปี
โกตาบายาก็มีพฤติกรรมที่ดื้อรั้น ดึงดันเช่นกัน คือ เดินหน้าบริหารประเทศท่ามกลางการประท้วงที่ชุลมุนวุ่นวาย จนสุดท้ายประชาชนต้องบุกสภาเผาบ้านพักนายกรัฐมนตรี ถึง ได้หนีตายไปมัลดีฟส์ก่อนเดินทางต่อไปสิงคโปร์
ตระกูลสัมภเวสีหนีคุก กับ ตระกูลราชปักษา เหมือนกันตรงที่เมื่อมีอำนาจ นำวงศาคณาญาติเพื่อนพ้องวงศ์วานว่านเครือ เข้ามาร่วมงานสมคบกันผลาญสมบัติชาติเมื่อมวลมหาประชาชนขับไล่ก็หนีตายไปต่างประเทศ
ตระกูลราชปักษา นายมหินทา ราชปักษา วัย 74 ปี เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของตระกูล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2547 และเป็นประธานาธิบดี จากปี 2548-ม.ค.2558 เดือน พ.ย. 2559 ได้รับแต่งตั้งจาก“โกตาบายา” ผู้เป็นน้องชายให้เป็น นายกฯ ครั้งที่ 2
โกตาบายา ราชปักษา เป็นประธานาธิบดี ปี 2562 จนลาออกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ก่อนหนีออกนอกประเทศไปสิงคโปร์ ขณะที่เป็น ประธานาธิบดี โกตาบายา แต่งตั้ง นายบาซิล ราชปักษา ลูกชาย นายมหินทา เป็น รมต.คลัง และแต่งตั้ง โยศิธา ราชปักษา ลูกชายมหินทา อีกคนเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นามาล ราชปักษา ลูกชายมหินทาเช่นกันเป็นรัฐมนตรีกีฬา
เมื่อเปรียบเทียบกับ ตระกูลชินวัตร สมัยนายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งพลเอกชัยสิทธิ์ชินวัตร ญาติผู้พี่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และแต่งตั้งสมุนบริวารที่รับใช้มานานเป็นคณะรัฐมนตรี
นายทักษิณถูกประชาชนประท้วงขับไล่จากพฤติกรรม คอร์รัปชั่นทางนโยบายและคอร์รัปชั่นทางตรง แต่ก็ดื้อด้านดึงดันอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนบ้านเมืองวุ่นวาย เมื่อทหารเห็นว่าปล่อยไว้ประเทศจะกลายเป็นมิคสัญญี จึงตัดสินใจยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะที่นายทักษิณเตรียมตัวร่วมประชุมสหประชาชาติในนิวยอร์ก
ตระกูลชินวัตร ห่างหายจากอำนาจเพียงหนึ่งปีเพราะรัฐบาลเฉพาะกาลได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อเตรียมเลือกตั้งโดยเฉพาะ เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2550 สัมภเวสีหนีคุกก็จัดการให้ผู้ก่อตั้งพรรคประชากรไทย
เข้ามาเป็น นายกฯนอมินี
เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ นายกฯนอมินี พ้นจากหน้าที่ สัมภเวสีหนีคุก ก็ฉวยโอกาสผลักดันพี่เขย ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อประชาชนรู้ทันก็ประท้วงขับไล่ พี่เขย เป็นนายกฯได้ 48 วันยังไม่ทันได้เข้าทำเนียบ ก็ต้องพ้นหน้าที่ไป
ตระกูลสัมภเวสีหนีคุก ต้องว่างเว้นจากอำนาจบริหารประเทศไปอีกสามปี เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 น้องสาวของสัมภเวสีผู้พี่ก็ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทย แต่ถูกประชาชนขับไล่หนักหนาสาหัสกว่าสัมภเวสีผู้พี่ เพราะนายกฯหญิงคนแรกของไทย ดำเนินนโยบายตามคำสั่งของพี่ชายให้รับจำนำข้าวทุกเม็ด เพื่อได้ใช้โครงการจำนำข้าวมาโกงกินกันครั้งมโหฬารทำให้ประเทศชาติเสียหาย เป็นหนี้กว่าเจ็ดแสนล้านบาท
และสิ่งสำคัญที่มวลมหาประชาชนทนไม่ได้ออกมาประท้วงขับไล่หลายล้านคนคือ นายกฯน้องสาว ผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ที่มีเป้าหมายฟอกตัวให้พี่ชายได้กลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุก
สุดท้ายนายกฯหญิงของตระกูลสัมภเวสีหนีคุก ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากหน้าที่ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ให้พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อเปิดทางให้พี่เขยของสัมภเวสีผู้พี่ได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และหลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่นานนายกฯหญิงคนแรกของไทยก็หนีไปประเทศกัมพูชาก่อนหน้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินจำคุกห้าปีไม่กี่ชั่วโมงฐานละเลยหน้าที่เปิดโอกาสให้มีการโกงในโครงการรับจำข้าว ครั้งมโหฬาร นายกฯหญิงหนีไปได้ ปล่อยให้สมุนบริวารถูกศาลสั่งจำคุก 48 คน
คำทำนายของ ดร.ไตรรงค์ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทยอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาลเป็นครั้งสุดท้าย เป้าหมายอยู่ที่อภิปรายสองอดีตนายกรัฐมนตรีจึงเป็นดังคำทำนายทุกประการ และการอภิปรายของฝ่ายค้านที่เหมือนกับเปิดโอกาสให้ฝ่ายรัฐบาล ได้แถลง
ผลงานที่ผ่านมาว่าสำเร็จลุล่วงพัฒนาก้าวหน้าไปกว่า สมัยที่ตระกูลสัมภเวสี มีอำนาจเป็นไหนๆ
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่สภาลงมติไว้วางใจหัวหน้ารัฐบาลอย่างล้นหลามถึง 256 เสียงทำให้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปได้จนหมดวาระสภาชุดนี้ สาเหตุที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชนะการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้ง # ไม่ใช่เพราะนโยบายใช้กล้วยล่อดังที่ฝ่ายค้านกล่าวหา
แต่พรรคร่วมรัฐบาลชนะ เพราะว่าพรรคฝ่ายค้านด้อยสติปัญญากว่า
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี