โรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัสนั้นเป็นสิ่งที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ด้วยคุณสมบัติพิเศษของไวรัสที่จะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นได้ง่าย โดยพบว่าไวรัสนั้นสามารถจะก่อให้เกิดโรคไม่ใช่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น แต่ในสัตว์อื่นๆ ก็สามารถจะติดโรคในลักษณะของโรคระบาดได้เช่นเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อประมาณ 2 เดือนเศษที่ผ่านมาได้มีการตรวจพบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งและทำให้เกิดอาการที่เรียกกันว่าฝีดาษลิงหรือ Monkeypox ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการระบาดไปทั่วโลกแล้วมากกว่า 77 ประเทศ
วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องโรคฝีดาษลิงให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก หลังจากที่ในช่วงเกือบ3 ปีที่ผ่านมาประชากรโลกรวมทั้งประชากรชาวไทย ได้รู้จักกับโรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าโคโรนา-2019 ที่ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่าโควิด-19 ซึ่งได้ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตของประชากรโลกไปแล้วรวมมากกว่า 6.4 ล้านราย โดยในส่วนของประเทศไทยก็มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปมากกว่า 31,000 ราย และยังก่อให้เกิดปัญหาทางลบต่อเศรษฐกิจกับทุกประเทศทั่วโลกด้วย
โรคฝีดาษลิงหรือไข้ทรพิษลิงนั้นเกิดจากไวรัสกลุ่มที่ชื่อว่าออโทพ็อกไวรัส(Orthopoxvirus) ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษ โดยเชื้อไวรัสตัวนี้ถูกตรวจพบในสัตว์ตระกูลลิง สัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแตเป็นหลัก โดยมีการพบเชื้อไวรัสนี้ครั้งแรกในลิงในห้องทดลองวิจัยในปี 2501 และเป็นโรคที่ติดต่อไปยังคนได้
ส่วนในคนนั้น ได้พบการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในทวีปแอฟริกาในหลายพื้นที่ จนกลายเป็นโรคประจำถิ่น โดยมีอัตราการเสียชีวิต 1-10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ การเสียชีวิตขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของโรคฝีดาษลิง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือสายพันธุ์คองโกเบซินหรือสายพันธุ์แอฟริกากลาง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิต 10 เปอร์เซ็นต์ และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิต 1 เปอร์เซ็นต์
ขอย้อนกล่าวไปถึงโรคฝีดาษหรือที่รู้จักกันในชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าไข้ทรพิษซึ่งเป็นโรคระบาดที่เกิดจากไวรัสออโทพ็อกซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษลิง แต่อาการของโรคไข้ทรพิษ ที่ในอดีตถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวนั้น เนื่องมาจากไวรัสที่ทำให้เกิดไข้ทรพิษนี้จะอยู่ในคนเป็นหลัก และจะติดต่อกับคนถึงคนเท่านั้นโดยติดต่อผ่านการหายใจได้ง่ายมาก ผ่านละอองฝอยเล็กๆ ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้เป็นวงกว้าง และเป็นโรคที่ทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการติดต่อนั้นต่างจากไข้ฝีดาษลิงอย่างสิ้นเชิง เพราะไข้ฝีดาษลิงติดต่อกันโดยผ่านการสัมผัสเท่านั้น มีหลักฐานยืนยันว่าโรคไข้ทรพิษเป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดมายาวนานกว่า 1,000 ปี แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีการพบผู้ป่วยไข้ทรพิษนับตั้งแต่ปี พ.ศ 2523 เป็นต้นมา จนทำให้การฉีดวัคซีนไข้ทรพิษในประเทศไทยได้ถูกยุติไปด้วย คงเหลือเพียงการเก็บตัวอย่างของเชื้อไข้ทรพิษไว้เพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น
การระบาดของโรคฝีดาษลิงครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนในประเทศคองโก ทวีปแอฟริกา จนปัจจุบันถือเป็นโรคประจำถิ่น การระบาดนอกทวีปแอฟริกาครั้งแรกนั้นพบในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีผู้นำสุนัขนำเข้าจากประเทศ และพบว่าสุนัขตัวนั้นได้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงสู่คนเป็นวงกว้าง แต่ในที่สุดโรคก็สงบไปได้ ส่วนการระบาดในรอบปัจจุบันนี้มีรายงานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 โดยผู้ป่วยรายแรกอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่พื้นที่โรคประจำถิ่นของโรคนี้แล้วต่อมาก็มีการแพร่ระบาดไปในหลายๆ ประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแถบทวีปยุโรป อเมริกา และขณะนี้ก็ได้เข้ามาสู่พื้นที่ในทวีปเอเชียแล้ว รวมทั้งในประเทศไทย
ผู้ป่วยรายแรกที่ถูกรายงานในประเทศไทยเป็นชาวไนจีเรียที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต แล้วมีอาการซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นฝีดาษลิง จึงถูกรับเข้ารักษาและส่งตรวจหาเชื้อผลการตรวจยืนยันว่าเป็นฝีดาษลิง ทำให้กระทรวงสาธารณสุข ประกาศการพบโรคฝีดาษลิงรายที่ 1 ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ส่วนผู้ป่วยรายที่ 2 ซึ่งมีอาการน่าสงสัยขณะตรวจพบ และได้รับการยืนยันผลการตรวจหาเชื้อเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมแล้วนั้น เป็นคนไทยซึ่งข่าวบางกระแสบอกว่า อาจติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างชาติที่เป็นเพศเดียวกัน
สำหรับอาการของผู้ที่ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงนั้น จะมีอาการซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการได้รับเชื้อประมาณ 7-14 วันดังนี้
อาการไข้สูง
ปวดศีรษะ
ปวดตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง
ปวดกระบอกตา
อาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย
ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย ซึ่งอาการนี้เป็นจุดสังเกตสำคัญ โดยพบได้บริเวณคอ ไหปลาร้า ข้อศอก รักแร้ เป็นต้น
มีผื่นตุ่มหนอง โดยเกิดขึ้นหลังจากมีไข้ประมาณ 3 วัน ผื่นมักจะขึ้นบริเวณใบหน้า แขนและขามากกว่าที่ลำตัว อาจจะรู้สึกแสบคัน ผื่นเหล่านี้จะเป็นอยู่นาน 2-4 สัปดาห์ โดยเริ่มต้นเป็นจุดแดงๆ กลมๆ ก่อนที่จะกลายเป็นตุ่มใส และกลายเป็นตุ่มหนองซึ่งเมื่อผ่านไประยะหนึ่งจะตกสะเก็ด ในช่วงที่มีตุ่มหนองเกิดขึ้นนี้จะมีโอกาสที่จะทำให้ติดต่อไปยังผู้อื่นง่ายที่สุด เมื่อผื่นตกสะเก็ดแล้วอาจจะเกิดรอยแผลเป็นได้
การตรวจพิสูจน์โรคนี้คือการตรวจหาเชื้อจากสารคัดหลั่งจากของเหลวจากตุ่มน้ำที่ผิวหนังโดยวิธี RT-PCR ซึ่งจะรู้ผลภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง
ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าโรคนี้เกิดได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อบุเป็นหลัก จึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้มีอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดมี ผื่น ตุ่มใสและตุ่มหนอง เกิดขึ้น และที่พบเป็นสาเหตุสำคัญ คือการมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการรักร่วมเพศ กับผู้ที่อยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนั้น
ส่วนการป้องกันอื่นๆ คือการหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์หลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงหรือคนซึ่งอาจจะนำโรค การหลีกเลี่ยงการสัมผัสจึงเป็นสิ่งจำเป็น และหากมีการระบาดมาก การสวมหน้ากากอนามัยอาจจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง เป็นการป้องกันฝอยละอองขนาดใหญ่
ในส่วนของวัคซีนเพื่อการป้องกันโรคนั้น ขณะนี้ยังไม่ถือว่าเป็นความจำเป็น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ยังไม่ถือว่าเป็นการระบาด วัคซีนที่สามารถจะนำมาใช้ได้ คือวัคซีนที่ใช้ป้องกันไข้ทรพิษ เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคให้ฝีดาษลิงนั้น เป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดไข้ทรพิษในอดีต ทั้งนี้ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนไข้ทรพิษคือผู้ที่เกิดก่อนพ.ศ 2523 หรืออายุมากกว่า 42 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนถึง 5 เท่าหรือลดโอกาสการเป็นโรคได้ 80-90 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีอาการรุนแรง การรักษาจึงเป็นเพียงการแยกตัวผู้ป่วยออกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ มีการให้ยาต้านไวรัสบางชนิด เช่น ทีโควิริแมท (Tecovirimat) ชิโดโฟเวียร์(Cidofovir) หรือบรินซิโดฟาเวียร์ (Brincidofovir) ซึ่งเป็นยากลุ่มเดียวกับที่ใช้รักษาโรคไข้ทรพิษ รวมทั้งให้ยาเพื่อรักษาตามอาการเท่านั้น อาการป่วยทั้งหมดจะหายไปในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ คือแผลพุพองที่เกิดขึ้น แห้ง ตกสะเก็ดลง แต่อาจจะมีแผลเป็นเกิดขึ้น เนื่องจากตุ่มดังกล่าวมีความลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
ขอให้ทุกท่านทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงนี้ไว้บ้าง ขอให้เข้าใจว่าโรคนี้จะไม่ใช่เป็นโรคระบาดร้ายแรง ตลอดจนเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุก็เป็นกลุ่มเดียวกันกับโรคฝีดาษในอดีต และยังสามารถใช้วัคซีนและยาที่รักษาโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นมานานนมแล้วในการป้องกันและรักษาได้อีกด้วย จึงเป็นโรคที่ควรตระหนักแต่ไม่ควร
หวั่นวิตกแต่อย่างใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี