ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ความรุนแรงช่วงปี 2553 ปฏิบัติการทมิฬของกองกำลังติดอาวุธฝ่ายระบอบทักษิณ ใช้อาวุธสงครามก่อเหตุโจมตีเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อยั่วยุ โต้ตอบ และสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
เมื่อวานนี้ ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา นายเมธี อมรวุฒิกุลหรือนายณชิต อำนาจเดชานนท์ อดีตแนวร่วม นปช. กรณีครอบครองอาวุธปืนยี่ห้อทราโว่ของทหารที่หายจากเหตุการณ์แยกคอกวัว
1. คดีนี้ อัยการ โจทก์ ระบุฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลาประมาณ 18.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารบก สังกัดกองทัพบก ได้เข้าขอคืนพื้นที่จาก นปช. โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้นำอาวุธปืนเล็กกล ยี่ห้อทราโว่ TAVOR-21) ขนาด 223 (5.56 มม.) พร้อมซองกระสุนปืน ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆ อีกรวม11 รายการ ที่นำติดตัวไปใช้ในราชการด้วย ต่อมา เจ้าหน้าที่ทหารบกเกิดการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. แล้วมีกลุ่มคนร้ายจำนวนหลายคนได้บังอาจร่วมกันชิงเอาทรัพย์ไปในเวลากลางคืน เอาอาวุธปืนเล็กกล ยี่ห้อทราโว่ (TAVOR-21) จำนวน 13 กระบอก ซองกระสุนปืน 50 ซอง ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งอาวุธปืนเล็กกล ขนาด 223 (5.56 มม.) ยี่ห้อทราโว่ (TAVOR-21) หมายเลขประจำปืน 38554046 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนจำนวน 5 ซองไปโดยทุจริต
ต่อมา วันที่ 22 เม.ย. 2553 เวลาประมาณ 05.45 น. เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ พร้อมอาวุธปืนเล็กกล ยี่ห้อทราโว่ (TAVOR-21) ขนาด 223 (5.56 มม.) หมายเลขประจำใน 38554046 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืนจำนวน 5 ซอง อันเป็นทรัพย์บางส่วนของกองทัพบกที่ถูกคนร้ายร่วมกันชิงเอาทรัพย์ไปในเวลา
กลางคืน พร้อมกระสุน จำนวน 92 นัด อาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์(SMITH & WESSON) ขนาด .38 SPECIAL หมายเลขทะเบียน กท 1942456 จำนวน 1 กระบอกของผู้อื่น พร้อมกระสุนปืน 41 นัด ที่ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ที่จำเลยกับพวกขับมา เจ้าพนักงานตำรวจ จึงยึดทรัพย์ทั้งหมดไว้เป็นของกลาง นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี เหตุเกิดที่แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ
จำเลยปฏิเสธข้อหา
2. ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานเป็น พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ และเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่อยู่ภายในรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทรทัน ซึ่งจำเลยเป็นคนขับกลับมาที่คอนโดมิเนียมย่านคลองสาน เชื่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความไปตามจริง โดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
ส่วนที่จำเลยอ้างว่ารถกระบะดังกล่าวยืมมาจากคนรู้จักประมาณ 1 เดือนก่อนวันเกิดเหตุ เพื่อนำมาขนอาหารสัตว์ โดยไม่ทราบว่ามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนอยู่ภายในรถ และอาจจะเป็นอาวุธปืนของบุคคลอื่นนั้นฟังไม่ขึ้น
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 2 ปี และให้ริบกระสุนปืนของกลาง
เมื่อวานนี้ นายเมธีไม่ได้หลบหนีไปไหน โดยเดินทางมาฟังคำพิพากษา และได้ให้ทนายความยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 3 แสนบาท เพื่อประกันตัวระหว่างอุทธรณ์สู้คดีต่อไป
3. คดีข้างต้น ตอกย้ำภาพเหตุการณ์ความรุนแรงช่วงปี 2553
เสมือนจิ๊กซอว์อีกหนึ่งตัว ที่ช่วยต่อเติมภาพให้เห็นความจริงชัดเจนมากขึ้น
พฤติกรรมของแกนนำและแนวร่วมฮาร์ดคอร์ในม็อบเสื้อแดง ปี 2553 นั้นไม่อาจเรียกว่าสันติวิธีได้เลย
มีการแย่งชิงอาวุธสงครามจากเจ้าหน้าที่รัฐไปก่อเหตุรุนแรงหลายเหตุการณ์(ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐต้องการทำร้ายผู้ชุมนุมตามที่ปลุกปั่น คงไม่ยอมถูกแย่งปืนไปแน่นอน และคงจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้)
ในรายงาน คอป. ที่มี ศ.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ได้สะท้อนชัดไว้หลายช่วงหลายตอน อาทิ
เหตุการณ์วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ความรุนแรงในเหตุการณ์สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพาสมเด็จพระปิ่นเกล้า สี่แยกคอกวัว หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และในสวนสัตว์ดุสิต
“...ความรุนแรงบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเจ้าหน้าที่ บาดเจ็บเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง อาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากถูกผู้ชุมนุม นปช. ยึดเอาไป มียานยนต์ทหารหลายคันและทรัพย์สินของทางราชการถูกผู้ชุมนุม นปช. ทำลายเสียหาย
เหตุเกิดเมื่อยานยนต์ลำเลียงพยายามลำเลียงเจ้าหน้าที่ทหารข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจากฝั่งธนบุรีเพื่อไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ขณะที่รถยนต์ลำเลียงส่วนหนึ่งอยู่บนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำ นปช.และการ์ด นปช. พร้อมผู้ชุมนุม ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ใช้กำลังสกัดกั้นยานยนต์เจ้าหน้าที่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่ามีคำสั่งไม่ให้ใช้กำลังทำให้กำลังเจ้าหน้าที่ทหารต้องเดินเท้าข้ามมาพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน ทิ้งยานยนต์และอาวุธยุทธภัณฑ์ส่วนหนึ่งไว้ในรถลำเลียงสัมภาระโดยมีเจ้าหน้าที่ทหารดูแลอยู่ประมาณ ๒๐ คน ผู้ชุมนุมได้ใช้กำลังยึดอาวุธ ปลย.พร้อมเครื่องกระสุนและยุทธภัณฑ์จำนวนมากในรถสัมภาระ นำไปแสดงไว้ที่เวทีปราศรัยใหญ่ของ นปช. ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พร้อมควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งมานั่งแถลงข่าวที่หลังเวทีสะพานผ่านฟ้า นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมบางคนยังทำลายยานพาหนะและทรัพย์สินอื่นๆ จำนวนหนึ่งของทางราชการ หรือทำให้เสียหาย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลือบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้ถอนกำลังกลับไปโดยไม่มีการปะทะ
จากการตรวจสอบพบว่า อาวุธปืน กระสุน และยุทธภัณฑ์ ที่แกนนำ การ์ด และผู้ชุมนุม นปช. ได้ยึดและนำไปไว้ที่เวทีปราศรัยนั้น มีปืนลูกซอง ๓๕ กระบอก พร้อมกระสุนยาง ๑,๑๕๒ นัด ปลย. ชนิดทราโว่ ๑๒ กระบอก พร้อมกระสุนจริง ๗๐๐ นัด และยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าทางราชการได้รับอาวุธดังกล่าวทั้งหมดคืนจาก นปช.
...ในช่วงบ่ายวันที่ ๑๐ เมษายน เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนกำลังพร้อมรถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะ เพื่อสลายการชุมนุมโดยขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง จาก นปช. เมื่อเคลื่อนกำลังออกจากที่ตั้ง ได้ถูกผู้ชุมนุมพยายามขัดขวางตลอดทาง มาถึงแยกสะพานเฉลิมวันชาติ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. กำลังส่วนหนึ่งได้เลี้ยวขวาไปหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ผ่านวงเวียนไปตาม ถนนตะนาวและส่วนหนึ่งเข้าไปถนนข้าวสาร เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว อีกส่วนหนึ่งได้เคลื่อนกำลังไปตามถนนดินสอ เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่รวมตัวกันอยู่ ในวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา...
ในเวลาที่ใกล้เคียงกันเวลาประมาณ ๑๖.๓๕ น. มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งได้บินวนอยู่ เหนือผู้ชุมนุมบริเวณเหนือสะพานผ่านฟ้า แล้วทิ้งแก๊สน้ำตาลงมายังผู้ชุมนุม มีเฮลิคอปเตอร์ ของกองทัพบกอีกลำหนึ่งบินมาโปรยใบปลิว ๒ ชุด มายังบริเวณที่ผู้ชุมนุมด้วย โดยมีข้อความว่า “การเข้าพื้นที่กำหนดห้าม ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย อย่าหลงเชื่อ ตามคำยงปลุกปั่น ขอให้พ่อแม่พี่น้องหยุดสร้างความวุ่นวายทำร้ายประเทศไทย กลับบ้านของตนเองเถอะครับ” และ “โปรดทราบ ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทหารกำลังทำการเข้ายึดพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน เพื่อคืนให้กับพี่น้องประชาชน ได้ใช้งานตามปกติ ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง ได้ออกจากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัย และความสะดวกของเจ้าหน้าที่ทหารที่จะเข้าปฏิบัติการ” ปรากฏว่าในเวลาประมาณ ๑๗.๕๐ น. เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวถูกยิง โดย ปลย. ชนิดเอเค ๔๗ ทะลุพื้นเครื่องบินถูกเจ้าหน้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งคือ พ.อ. มานะ ปริญญาศิริได้รับบาดเจ็บสาหัส...
(เหตุการณ์นี้ ในภายหลังนายเมธีได้เปิดเผยเองว่า ตนเองเป็นผู้ยิง ฮ.ทหาร)
...ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา นอกจากผู้ชุมนุม ช่างภาพชาวญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากแล้วจากการตรวจสอบยังปรากฏว่า ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ทำลายรถยนต์สายพานลำเลียงหุ้มเกราะจำนวนมาก นอกจากนั้น ผู้ชุมนุมยังได้ยึดอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์ของทางราชการจำนวนหนึ่งไปจากยานยนต์ ดังกล่าวและเจ้าหน้าที่ทหารโดยผู้ชุมนุมนำอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์ไปมอบไว้ที่เวที นปช.สะพานผ่านฟ้าลีลาศซึ่งรวมถึงปลย. ๑ กระบอก ปลย. ชนิดเอ็ม ๑๖ จำนวน ๙ กระบอก ชนิดทราโว่ จำนวน ๑๓ กระบอก ปืนลูกซอง ๑๐ กระบอก ปืนพกสั้นขนาด .๔๕ จำนวน ๑ กระบอก และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ปรากฏว่าอาวุธทั้งหมดดังกล่าว ทางราชการได้คืนมาเพียง ปลย. ชนิดเอ็ม ๑๖ จำนวน ๑ กระบอก โดยยึดคืนได้จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นโรงแรมเอสซีปาร์คในวันที่เจ้าหน้าที่พยายามจับตัวนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๓ ปลย. ชนิดทราโว่อีก ๑ กระบอกยึดได้พร้อมกับการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล เมื่อวันที่๒๒ เมษายน ๒๕๕๓ และปลย.ชนิดทราโว่อีก ๑ กระบอก พร้อมซองกระสุนจำนวน ๖ ซอง ยึดคืนได้จากการตรวจค้นโรงแรมสวัสดีหลังสวนอินน์ ใกล้สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นอกจากนั้นทางราชการยังไม่ได้รับคืน เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบพบว่าปืนทั้ง ๓ กระบอกดังกล่าวเป็นปืนที่ถูกผู้ชุมนุมยึดไปจากเจ้าหน้าที่ทหารในเหตุการณ์หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย...”
ตอกย้ำความจริงที่ปรากฏในรายงานของ คอป. อย่างน่าเศร้าใจ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี