จนบัดนี้ ยังไม่มีการตัดสินใจแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และจากรัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย
รัฐบาลแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ เปิดทางให้ผู้ว่าฯ ป้ายแดงได้โชว์ฝีมือแก้ปัญหาตามหาเสียงไว้
ผู้ว่าฯ ป้ายแดง บอกศาลาเลิกเอาสายสื่อสารลงดินไปแล้วหนึ่งอ้างว่าไม่มีงบ ส่วนปัญหาสายสีเขียวที่เคยบอกว่าจะแก้ภายใน 1 เดือนก็ยังวกไปวนมา และชัดแน่แล้วว่า ไม่สามารถทำค่าโดยสารตามนโยบายหาเสียง
1. ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว คาราคาซังมาตั้งแต่ปลายปี 2564 การตัดสินใจทั้งหมดยังค้างอยู่ที่การประชุมคณะรัฐมนตรี โดยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าฯกทม. มาเป็นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กลับดูเหมือนว่าการแก้ปัญหาจะซับซ้อน ซ้ำซ้อน และซ้ำซากมากขึ้น
ปัจจุบัน กทม. มีภาระค้างจ่ายให้แก่บริษัทเอกชน ปีละประมาณ 5,700 ล้านบาท
ยอดหนี้สะสมกว่า 4 หมื่นล้านบาท
2. ผู้ว่าฯชัชชาติ ตอบคำถามสื่อมวลชน เกี่ยวกับหนี้สะสมสายสีเขียวกว่า 4 หมื่นล้านบาท ระบุว่า
2.1 ในส่วนต่อขยายที่ 1 หรืออ่อนนุช-แบริ่ง และช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ชี้แจงว่า มีสัญญาว่าจ้างเดินรถชัดเจน ระหว่าง กทม. และ KT รวมถึงผ่านการพิจารณาของสภากทม.แล้ว จากนั้น KT ได้นำสัญญาฉบับเดียวกันไปลงนามกับบริษัทเอกชน ทำให้ตัวเลขทั้งหมดผ่านการพิจารณา และการรับรู้ของสภากทม. ดังนั้น ในส่วนของภาระหนี้ที่เกิดขึ้น จึงจะต้องจ่ายตามสัญญา แต่ปัจจุบันกทม. มีการหยุดจ่ายหนี้ให้แก่เอกชนไปแล้ว ด้วยความเข้าใจว่า สภาพหนี้ที่มีอยู่ ถูกนำไปคำนวณรวมกับข้อตกลง เรื่องการขยายสัมปทาน ถึงปี 2602 ซึ่งขณะนี้ประเด็นดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) จึงเป็นที่มาของการหยุดจ่ายเงินให้แก่เอกชนชั่วคราวดังนั้น การดำเนินการในส่วนนี้จะต้องรอครม. พิจารณาเสร็จก่อน
ประเด็นนี้ เป็นการแก้ตัวแบบโยนขี้
เพราะที่รัฐมนตรีมหาดไทย ตัดสินใจแล้ว จะเอาเข้า ครม. แล้ว พอผู้ว่าฯ ป้ายแดงหาเสียงว่าจะเอาค่าโดยสารถูกๆ รัฐบาลก็ให้เกียรติ โดยให้ทำงานอย่างเต็มที่ แต่กลับมาอ้างว่า ยุติจ่ายหนี้เอกชน เพราะรอ ครม.ตัดสินใจ
2.2 ในส่วนต่อขยายที่ 2 คือ แบริ่ง - ปากน้ำ และจากหมอชิต- คูคต นายชัชชาติ อ้างว่า จากการตรวจสอบ พบไม่ได้มีสัญญาจ้างเกิดขึ้น แต่เป็นเพียงหนังสือมอบหมายให้ดำเนินงาน ระหว่าง กทม. และ KT เท่ากับในส่วนนี้ไม่มีสัญญาจ้างและไม่ได้ผ่านสภากทม. จึงไม่มีตัวเลขหนี้และลักษณะความรับผิดชอบดำเนินการที่ชัดเจน ดังนั้น ในส่วนของสภาพหนี้ที่เกิดขึ้น จึงต้องมีการหารือร่วมกับสภากทม.อีกครั้ง ว่าจะสามารถจ่ายได้หรือไม่
ในความเป็นจริง KT หรือ กรุงเทพธนาคม เป็นวิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร หรือเป็นกิจการที่อยู่ในอำนาจควบคุมหรือกำกับของกรุงเทพมหานคร โดย กทม.มีสัดส่วนถือหุ้นทั้งสิ้น 44,994 หุ้น หรือคิดเป็น 99.98% จากหุ้นทั้งหมด 50,000 หุ้น
นายชัชชาติ ในฐานะผู้ว่าฯกทม. ก็เพิ่งเลือกเอานายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มานั่งเป็นประธานบริษัทกรุงเทพธนาคมด้วยตัวเอง
ส่วนบีทีเอสก็เดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 2 ให้ประชาชนนั่งฟรีมาตลอด ทุกวัน ไม่เคยหยุด และยังไม่ได้รับค่าจ้างเลย ทั้งค่าวางระบบและค่าเดินรถ
3. ผู้ว่าฯ ชัชชาติหาเสียงไว้สวยหรู แต่พอเอาเข้าจริง ก็แค่ขายฝันเรื่องค่าโดยสาร
แถมการแก้ปัญหาหนี้สินสายสีเขียวก็เหลวเป๋ว ไปไม่ถึงไหน
ยังขยันสร้างภาพ ขายฝัน ขายไอเดียไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการลงมือตัดสินใจแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม
4. ในความเป็นจริง สิ่งที่นายชัชชาติมะงุมมะงาหราสร้างภาพการแก้ปัญหาอยู่ในวันนี้ ล้วนแต่ผ่านการพิจารณาของผู้เกี่ยวข้องที่จะแก้ปัญหามาแล้วทั้งนั้น
เห็นแล้วว่า กทม.ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่าย จะต้องเอาเงินไปใช้จ่ายช่วยชาวบ้านเรื่องอื่นๆ การเจรจาโดยคณะกรรมการ ตามมาตรา 44 จึงเสนอให้เอกชนรับภาระหนี้ทั้งหมด เพื่อปลดภาระหนี้สินของภาครัฐ และให้มีการเดินรถต่อเนื่องเป็นเส้นทางเดียวทุกส่วนต่อขยายสายสีเขียว ผู้โดยสารไม่ต้องเปลี่ยนขบวน ค่าโดยสารตลอดสาย 15-65 บาท แลกกับขยายสัมปทานให้เอกชนนั่นเอง
ในความเป็นจริง บทบาทการตัดสินใจในการแก้ปัญหาสายสีเขียวฐานะของผู้ว่าฯกทม.เป็นเพียงการนำเสนอความเห็นประกอบ ในเรื่อง“ร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว” ตามที่ พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดา ในฐานะ รมว.มหาดไทย ได้มีข้อสรุปไปแล้ว ตามข้อมูลการพิจารณาของคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามมาตรา 44 อันประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง,ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา,เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, อัยการสูงสุด,ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและด้านระบบรถไฟฟ้า ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งด้านละหนึ่งคนเป็นกรรมการ และปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ
ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะรมว.มหาดไทย ก็แสดงจุดยืนชัดเจนในเรื่องนี้มาโดยตลอด ในการตอบข้อซักถามสภาผู้แทนราษฎรถึง 2 ครั้ง ยืนยันว่า ผลประโยชน์จากข้อสรุปของคณะกรรมการ ตามมาตรา 44 ในเรื่องการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ไม่เฉพาะกับการแก้ปัญหาหนี้ค้างชำระสะสม แต่ผลประโยชน์ต่างตอบแทนตลอดระยะเวลาการขยายสัมปทาน รถไฟฟ้าสายสีเขียวยังคุ้มค่าสูงสุด เนื่องจากภาครัฐโดยเฉพาะกทม. และ รฟม. ไม่ต้องนำเงินงบประมาณ มาดำเนินการ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเป็นภาระของภาคเอกชนในระยะยาว
เลิกปล่อยให้นักสร้างภาพถ่วงเวลา สร้างความเสียหายดอกเบี้ยพอกพูน รังแต่จะทำให้การแก้ปัญหาถูกเอาการเมืองเข้าไปเล่นแร่แปรธาตุ มีแต่จะขยายปัญหามากกว่าเก่า
กทม.ไม่มีปัญญาแก้ ก็ควรให้รัฐบาลตัดสินใจแก้ หยุดหลอกตัวเองหยุดหลอกประชาชน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี