เมื่อวานนี้ฝ่ายค้านยื่นตีความนายกฯ 8 ปี ต่อประธานสภาฯผ่านไปยังศาลรัฐธรรมนูญ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังการชี้ชะตานายกฯ 8 ปี ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรแต่การพิจารณาก็ไม่น่าทันวันที่ 23 สิงหาคม และเต็มที่ก็น่าจะรับรู้ได้เพียงรับหรือไม่รับ
ยังไม่นับรวมถึงเรื่องของการประชุมหาข้อสรุปเรื่องสูตรการคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อที่ลากยาวเป็นมหากาพย์ แต่การประชุมที่ควรจะได้ข้อสรุป และกติกาต่างๆ น่าจะเดินต่อไปได้กลับชะงักงัน ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดเดาอะไรนักแต่ก็มีเรื่องที่น่าพูดถึง ทั้งนัยสำคัญที่ซ่อนอยู่ และอาจมีสัญญาณบางอย่างทางการเมืองซ่อนอยู่หรือไม่? เพราะสุดท้ายก็ล่มไม่ทันกรอบ 180 วันและไม่ทัน 23 สิงหาคม อีกเช่นกัน
ตั้งแต่หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายเป็นต้นมา การประชุมที่เกือบจะหาข้อสรุปของสูตรคำนวณได้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อการประชุมในครั้งหลังๆ ก็ล่มไม่เป็นท่า และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกำหนดวันที่ กฎหมายลูกเลือกตั้งควรที่จะต้องได้ข้อสรุป ก็เลยผ่านไปในที่สุดแบบไม่จบ จนกลายเป็นจังหวะให้มีของแถมเกิดขึ้นด้วย?
เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์สภาฯล่ม มาดามเดียร์หนึ่งในผู้แทนของพรรคพลังประชารัฐก็ได้ประกาศอำลาพรรคพลังประชารัฐ ยุติบทบาททั้งการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในสื่อโซเชียลของมาดามเดียร์ ก็มีการพูดถึงเรื่องของหน้าที่และความรับผิดชอบ ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงคงมีแต่ใจมาดามเดียร์เท่านั้นที่ทราบ แต่เมื่อถ้อยแถลงการณ์ลาออกนั้น มีการเอ่ยถึงเรื่องการเล่นเกมทางการเมือง ก็น่าสนใจว่ามาดามเดียร์หมายถึงใครหรืออะไร? และการล่มของสภาเกี่ยวกับการตัดสินใจลาออกจริงๆ ใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นกิจจะลักษณะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า อนาคตของสูตรการคำนวณจะเดินไปอย่างไร้ทิศทาง?
นายชวน หลีกภัย ในฐานะประธานในที่ประชุม ก็ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกฯ แสดงตนเป็นเวลานานกว่าชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเริ่มการประชุมได้ เนื่องจากองค์ประชุมแสดงตน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาฯ
ซึ่งในเรื่องนี้ก็อาจทำให้เกิดมีข้อสงสัยได้ว่า นี่คือวิถีที่ทำเพื่อประชาชนหรือเพื่อนักเลือกตั้งทั้งหลาย?เพราะการที่การพิจารณาร่างกฎหมายลูก ไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามกรอบเวลาที่ได้ตั้งไว้ ก็ย่อมส่งผลให้สูตรการคำนวณแบบหาร 500 แทบจะโดนตัดโอกาสในยามนี้ไปแล้วหรือไม่? เพราะหากว่ากันตามกระบวนการแล้ว เมื่อกฎหมายเลือกตั้งไม่สามารถบรรลุข้อสรุปได้ภายใน 180 วัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือต้องเริ่มใหม่ แต่สิ่งที่น่าคิดต่อมาก็คือ การเริ่มต้นใหม่เท่ากับยอมรับว่าจะไม่เสร็จสิ้นก่อน 23 สิงหาคม ที่บอกน่าคิดก็เพราะว่า กระบวนการนี้ที่หลายคนมองว่าอาจจะมีพรรคเพื่อไทยมาเกี่ยวข้องนั้น ก็น่าจะรู้แต่ต้นด้วยหรือไม่ว่าจะส่งผลอย่างไรอีกบ้าง?
อย่างไรก็ตามก็มีคนบอกว่ายังมีอีกขั้นตอนหนึ่ง นั่นก็คือ ร่างอีกร่างที่คาอยู่คือร่างของครม. แต่ก็ต้องมีการส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร? มีข้อโต้แย้งหรือติดขัดอะไรตรงไหนหรือไม่? หากไม่มีข้อโต้แย้งและไม่ขัดกับกฎหมายแม่ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปเร็วขึ้น ก็เท่ากับว่าสูตรหารด้วยร้อยได้ถูกเปิดสวิตช์ขึ้นมาแล้ว กกต เองก็เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกสูตรหารร้อย หากมองเผินๆ จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่ กกต. จะตีตกหรือแก้ไขในสิ่งที่เป็นความคิดเห็นของตนเอง เพราะอาจกระทบต่อตวามเชื่อมั่นหรือไม่?
แต่ก็เป็นไปได้อยู่ดีว่า อยู่ดีๆ หน่วยงานอย่าง กกต. อาจเกิดมีข้อกังขาในสูตรการเลือกตั้งที่ตนเองร่างไว้ตอนแรก ก็น่าสนใจว่าจะยิ่งส่งผลให้เรื่องสูตรคำนวณบัญชีรายชื่อยิ่งยืดเยื้อและลากยาวไปอีกมากน้อยเพียงใด? และยังไม่นับรวมการยื่นตีความของพรรคเล็กต่อกรณีร่างหารร้อยซึ่งก็อาจทำให้กระบวนการยืดออกไปอีกได้เช่นกัน
พรรคการเมืองแต่ละพรรค ก็น่าจะมีการเตรียมพร้อมสำหรับสูตรการคำนวณที่ดูมีแววพลิกผันตั้งแต่แรกแล้วซึ่งในรายของพรรคใหญ่ที่น่าจะได้ผลประโยชน์จากการตีกลับสูตรไปเป็นหาร 100 มากกว่านั้นจึงถูกมองว่าเดินเกมอย่างมั่นคง ล้มการประชุมทุกด่านในสภาฯ ผิดกับพรรคกลางบางพรรคที่ถูกมองว่ากลับไปกลับมา?
การวางเกมของพรรคก้าวไกลนั้น มีความแตกต่างจากพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก ทั้งที่วาจาได้ลั่นไว้ว่าหนุนสูตรการคำนวณแบบเดียวกัน แต่ความเคลื่อนไหวกลับไม่สอดคล้องกัน และหากวัดกันจริงๆ ในการประชุมเพื่อหาข้อสรุปในมหากาพย์นี้ แต่ละครั้งพรรคเพื่อไทยก็มักจะยืนหยัดในอุดมการณ์ของตน มีความตั้งใจจะเข้าประชุมหรือไม่เข้าด้วยเหตุผลอะไรก็มักจะแถลงออกมาเลย? และยืดหยัดแนวทางเดิมจนวันสุดท้ายซึ่งก็เท่ากับต้องยอมรับผลการตำหนิของสังคมในอีกด้าน แม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดก็ตาม แต่นั่นก็เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้
ขณะที่พรรคก้าวไกลที่ ในชั้นของกรรมาธิการ การประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมถึงปรากฏการณ์กลับลำกลางสภาฯ จนไม่อาจเดาทางได้ว่าสุดท้ายแล้วความต้องการลึกๆ ของพรรคก้าวไกลคืออะไร? เพราะในการประชุมสภาครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลก็ถือว่าเข้าร่วมการประชุมด้วยสัดส่วนที่จำนวนผู้ยืนยันตนเยอะเป็นพิเศษ แม้อาจให้เหตุผลว่าทำหน้าที่ผู้แทนที่ดีของประชาชนและไม่คิดล้มการประชุม แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีความต้องการอย่างไรกันแน่?
เพราะหลายคนอาจวิเคราะห์ไปถึงว่าจริงๆ แล้วทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคประชาธิปัตย์อาจกำลังตกในที่นั่งลำบากจากการคิดสูตรคำนวณเพราะเป็นพรรคขนาดกลางที่ยังประเมินลำบากว่าครั้งหน้าคะแนนจะเทไปทางใด?
เอาเข้าจริงสำหรับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องสูตรคำนวณดังกล่าว สื่อหลายแขนง ก็มักจะจับจ้องไปที่ท่าทีของนายสาธิต ปิตุเตชะ ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายลูก จากค่ายประชาธิปัตย์ ซึ่งความเห็นของนายสาธิต ก็ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากคณะกรรมาธิการ แต่ความต้องการหลักๆ ของเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จริงๆ แล้วจะมีความคิดเห็นอย่างไรกันแน่?
ที่ผ่านมาก็มักมีกระแสข่าวมาโดยตลอดว่า ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ไม่ได้มีความคิดเห็นสอดคล้องไปทิศทางเดียวกันมากนัก เพราะก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นว่าหารร้อย น่าจะผลดี และก็มีฝ่ายที่เห็นว่าหาร 500 น่าจะเป็นประโยชน์ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อสูตรการคำนวณหาร 500 ถูกคว่ำไป ก็อาจส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์อาจแบกรับความเสี่ยงอย่างหนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า และเป็นจุดวัดใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ได้หรือไม่?
และหากพูดถึงการเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้จะยังคาดเดาไม่ได้ว่าสรุปแล้วต้องการ หนุนสูตรเลือกตั้งรูปแบบใดกันแน่? แต่จากการที่สมาชิกพรรคแสดงตนในที่ประชุมเพียง 9 คน ก็น่าจะพอให้สามารถเดาได้แล้วว่าสรุปแล้วท่าทีของพรรคพลังประชารัฐ ต้องการให้สูตรคำนวณดังกล่าวไปจบอยู่ที่ใดกันแน่? แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าภายในพรรคพลังประชารัฐก็เริ่มมีการวางลำดับของ สส. บัญชีรายชื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว
ที่น่าสนใจคือลำดับปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคพลังประชารัฐ จะปรากฏชื่อของพลเอกประยุทธ์ด้วยหรือไม่? และหากมีนั้น ชื่อของพลเอกประยุทธ์จะขึ้นเป็นลำดับที่เท่าไหร่ เพราะในยามนี้ก็ต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้ดีเหมือนแต่เก่า อีกทั้งยังพบข่าวว่า สส. จำนวนไม่น้อยที่ได้โบกมือลาสังกัดไป อย่างมาดามเดียร์ ซึ่งเป็นรายล่าสุดที่ได้ก้าวขาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่นับรวมถึงนายแรมโบ้ที่ได้ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอีกคำรบหนึ่ง เพื่อไปจัดการก่อร่างพรรคเทิดไท นี่ยังไม่นับข่าวลืออีกมากมายของแต่ละมุ้งในพลังประชารัฐที่มีข่าวจะย้ายพรรค เมื่อเป็นเช่นนั้นการมีรายชื่อของพลเอกประยุทธ์เข้าร่วมเป็นปาร์ตี้ลิสต์อันดับแรกๆ จึงกลายเป็นจุดสำคัญทันทีต่อการคงอยู่ต่อไปของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ที่ในตอนนี้แม้จะฝ่าด่านสุดหินมาได้อย่างนับไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับช่วงวัดใจเพราะหากพลเอกประยุทธ์ สามารถฝ่าด่านนายกฯแปดปี ซึ่งเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายได้ ก็มีโอกาสที่พลเอกประยุทธ์ รวมถึง 3 ป. จะอยู่จนครบเทอมไปด้วยกันได้ไม่ยาก ซึ่งบทสรุปในเรื่องนี้น่าจะทราบเบื้องต้น ในวันที่ 23 สิงหาคม
อย่างไรก็ตามสิทธิ์ในการชี้ขาด ก็คงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าปมนายกฯ 8 ปี ท้ายที่สุดแล้วจะมีบทสรุปเป็นอย่างไรกันแน่? แต่หากวิเคราะห์ดู ก็ประเมินว่าอาจเป็นไปได้สามทางหรือไม่
ทางแรก ซึ่งคือบ่อเกิดแห่งข้อถกเถียง เพราะหากนับวาระตั้งแต่การดำรงตำแหน่งนายกฯ หลังรัฐประหาร 2557ก็คือขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557ก็จะครบวาระในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ซึ่งหากออกหน้านี้ ก็คงขึ้นกับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้ประเทศเดินไปอย่างไรต่อ?
ทางที่ 2 คือเริ่มนับวาระดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 นั่นก็คือวันที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์ ยังสามารถดำรงตำแหน่งได้ถึง 5 เมษายน 2568
ทางที่ 3 คือ เริ่มนับวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์ก็ยังสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกสมัย
แม้จะยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไรแต่หากดูจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่พลเอกประวิตรหลุดปากว่าพลเอกประยุทธ์ยังสามารถเป็นนายกฯได้อีก 2 ปี ก็อาจทำให้ผลที่ออกมาอาจมีโอกาสเป็นหน้าที่ 2 หรือไม่ ซึ่งก็คือ สามารถดำรงตำแหน่งได้ถึงปี 2568 แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ขึ้นกับดุลพินิจของศาลเท่าที่ไม่มีใครอาจก้าวล่วง แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันพลเอกประยุทธ์ชิงยุบสภาฯ ก่อน ก็ยังสามารถเป็นนายกฯรักษาการได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งในเรื่องนี้พรรคการเมืองมืออาชีพอย่างเพื่อไทยก็คงทราบดีและคงไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะในยามที่กฎหมายลูกเลือกตั้งที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป?
เพราะแม้ในยามนี้สูตรการหารด้วย 100 จะถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ เพราะสูตร 500 ดูแล้วน่าจะถึงทางตันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปลายทางจะเป็นสูตรหาร 100 อย่างที่ตั้งใจไว้ เมื่อภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นพรรคเพื่อไทยเองก็คงน่าจะทำอะไรด้วยความระมัดระวัง และคงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองมากนัก เพราะอาจส่งผลต่อกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายประกอบของรัฐธรรมนูญ ก็อาจถูกตีความว่าไม่สามารถออกเป็นพระราชกำหนดได้หรือไม่ เมื่อทุกอย่างพัลวันกันไปหมด บทสรุปในตอนท้ายจะลงเอยอย่างไรกันแน่?
ข้อสรุปของเรื่องวุ่นๆ สุดท้ายก็ได้ออกมาแล้วว่า สูตรการหารแบบ 500 ไม่ได้ไปต่อบนเวทีแห่งนี้ พร้อมกับท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น บ้างปากอย่างใจอย่าง บ้างก็ไม่อาจทำตามใจตน และก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ทำตามความประสงค์ของตนเองจนสำเร็จ แต่นั่นยังไม่ใช่ข้อสรุปทั้งหมดที่ออกมา เพราะสุดท้ายแล้ว ยังเหลือบทสรุปเรื่องของนายกฯ8 ปี ที่ยังต้องลุ้นว่าสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไรต่อไป?
“พลังจากรักแท้เป็นสิ่งประโลมขวัญ จรรโลงชีวิตผู้คนยั่งยืนนานชั่วนิจนิรันดร์”
โกวเล้ง จาก จับอิดนึ้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี