เดือนกันยายนของปีนี้ก็ผ่านมา 5 วันแล้ว และยังเหลือเวลาอีก 25 วัน ก่อนจะถึงวันสิ้นเดือนคือวันที่ 30 กันยายน และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เชื่อกันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องสถานะของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี จะสิ้นสุดลงตามระยะเวลา 8 ปีที่เป็นประเด็นในข้อกฎหมายที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร
ในฐานะที่ประเทศไทยมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การดำเนินการใดๆ ก็แล้วแต่ก็ควรจะต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือฉบับปีพ.ศ. 2560 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นฉบับที่ถูกจัดทำขึ้นและได้ผ่านการรับรอง โดยการลงมติของประชาชนที่มีสิทธิทั่วทั้งประเทศ ก่อนที่จะถูกนำมาบังคับใช้อย่างถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยในทุกภาคส่วน ตลอดจนพรรคการเมืองทั้งหลายทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะต้องยึดถือ
จึงหวังว่าเมื่อผลการพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีจำนวน 9 ท่านได้ออกมาไม่ว่าจะมีผลเป็นประการใด ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไขแต่อย่างใด เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และประชาชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ไม่ว่า จะเป็นประชาชนคนทั่วไป หรือผู้ที่เรียกตัวเอง ว่าเป็นนักการเมือง ยอมรับในสิ่งที่เป็นระบอบการปกครองของประเทศ อย่างแท้จริง
ขอกลับเข้ามาสู่เรื่องของสุขภาพ ตามที่ผู้เขียนได้นำเสนอในคอลัมน์นี้ ในวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ มาเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอในเรื่องของโรคโควิด-19 ซึ่งทุกคนทราบกันดีว่าทำให้เกิดความเสียหายไปทั่วทั้งโลก รวมทั้งในประเทศไทยของเราเอง ที่มีผู้ป่วยเกิดขึ้นมากกว่า 2.4 ล้านราย และเสียชีวิตไปมากกว่า 3.2 หมื่นราย ตลอดจนทำให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสถานะความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย
จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรคระบาดใหญ่ดังกล่าวได้คลี่คลายลงไปเป็นอย่างมาก และกระทรวงสาธารณสุขจะได้ประกาศให้โรคนี้เป็นโรคระบาดที่ต้องเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป โดยขณะนี้การดำเนินชีวิตของประชาชน ก็สามารถจะเรียกได้ว่า ได้กลับเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว เว้นแต่ยังได้รับคำแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย เมื่อออกไปอยู่ในสถานที่สาธารณะโดยเฉพาะที่มีผู้คนจำนวนมาก และการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้ยังเป็นสิ่งที่พึงกระทำ และที่สำคัญที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด คืออย่างน้อย 3 เข็มขึ้นไป
ขณะนี้ประเทศไทยก็เข้าสู่ฤดูฝนเต็มตัวแล้ว ก็คาดว่าจะมีฝนตกต่อเนื่องในปริมาณมากพอสมควรตามสภาพปกติที่ควรจะเป็น รวมทั้งอาจจะมาจากพายุฝนซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาอีกหลายลูก จนกว่าจะสิ้นฤดูฝนของปีนี้ หรือประมาณปลายเดือนตุลาคม
ก่อนที่จะมีการเกิดของโรคโควิด-19 นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อถึงฤดูฝนก็จะมีโรคระบาดตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ เป็นโรคที่ประชาชนคนไทยรู้จักกันแล้วเป็นอย่างดีคือโรคไข้หวัดใหญ่ ที่หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่าเป็นโรคที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร้ายแรงนัก แต่โดยความเป็นจริงแล้วโรคนี้ก็สามารถทำให้เกิดการเสียชีวิตได้เช่นกัน วันนี้ผู้เขียนจึงจะขอนำเรื่องไข้หวัดใหญ่มาเล่าสู่กันฟัง
ไข้หวัดใหญ่ หรือที่บางท่านเรียกชื่อ โรคนี้ว่า ฟลู (Flu) มีชื่อเป็นทางการว่า Influenza เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส influenza โดยส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นสายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B เป็นโรคระบาดประจำถิ่นชนิดหนึ่ง หรือ อาจจะเรียกว่าเป็นโรคระบาดตามฤดูกาลก็ได้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วยโรคนี้ในฤดูฝน เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยพบในเด็กได้มากกว่าผู้ใหญ่ และเป็นโรคที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป เป็นโรคที่ติดต่อได้จากการหายใจ หรือการได้รับน้ำมูกหรือเสมหะของผู้ป่วย โดยเชื้อโรคจะผ่านเข้าทางเยื่อบุของตา จมูกและปาก รวมทั้งอาจเกิดจากการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนที่มีเชื้อโรคติดอยู่ เช่นผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ เป็นต้น แล้วเชื้อถูกนำเข้าสู่จมูกหรือปาก
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะการฟักตัวประมาณ 1 ถึง 3 วัน หลังจากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการอ่อนเพลียชนิดเฉียบพลัน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ เริ่มมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับอาการไข้ซึ่งไข้อาจจะสูงเกินกว่า 39 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อย ตามแขน ขา ปวดตามข้อ ปวดเมื่อยตามตัวหรือแม้แต่ปวดรอบๆ กระบอกตา ติดตามมาด้วยอาการไอ เจ็บคอและมีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วยก็ได้ อาการไข้มักจะหายไปภายใน 2 ถึง 4 วัน แต่อาการคัดจมูกและแสบคออาจจะยังอยู่ต่อไปจนถึง 1 สัปดาห์ ก็เป็นได้ ซึ่งจะพร้อมๆ กับการหายของโรคนี้
มีเรื่องที่ต้องเตือนให้ระวัง คือ ผู้ที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม อันได้แก่
1.กลุ่มหญิงตั้งครรภ์อายุ 4 เดือนขึ้นไป
2.เด็ก อายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
3.ผู้ที่มีโรคเรื้อรังคือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืดหัวใจ หลอดเลือด สมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างการได้รับยาเคมีบำบัด โรคเบาหวาน
4.ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
5.ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
6.โรคอ้วน คือหนักมากกว่าร้อยกิโลกรัมหรือ BMI มากกว่า 35
7.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ผู้ที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยงนี้ หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อนได้ คือ
พบอาการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ และ มีอาการหัวใจวาย
ระบบประสาท อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศีรษะมาก และซึมลง ระบบหายใจ จะมีหลอดลมอักเสบและปอดบวม ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยและแน่นหน้าอก ซึ่งโรคและอาการที่กล่าวมานี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสียชีวิตได้
ขอกล่าวถึงการป้องกันโรคก่อนที่จะไปถึงเรื่องของการรักษา เนื่องจากโรคนี้ ติดต่อได้ทางลมหายใจ และการสัมผัสกับของใช้ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ การป้องกันจึงเหมือนกับการป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสทั่วๆ ไป คือการอยู่ห่างจากผู้ที่เป็นโรค หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะต่างๆ ร่วมกัน การใส่หน้ากากอนามัย และที่มีความสำคัญยิ่งคือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ควรจะเข้ารับการฉีดตั้งแต่ต้นฤดูฝน หลังฉีดวัคซีน 2 สัปดาห์ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันที่สูงเพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ โดยผู้ที่มีประวัติแพ้สารโปรตีนประเภทไข่ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้ และกลุ่มผู้ที่ควรได้รับวัคซีนเป็นอย่างยิ่งคือผู้ที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยง ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
มีข่าวที่น่ายินดีในเรื่องของการฉีดวัคซีน โดยในปีนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้รณรงค์ให้ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 กลุ่มนั้น เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยครอบคลุมประชาชนในทุกสิทธิของระบบบริการสุขภาพทุกระบบ โดยสามารถจะเข้ารับการฉีดได้ในสถานบริการของรัฐที่อยู่ใกล้บ้านได้เลยหรืออาจจะติดต่อล่วงหน้าก็ได้
ในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมและมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ก็สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลตามสิทธิได้เช่นกัน โดยในปีนี้สำนักงานประกันสังคมได้ขยายระยะเวลาการฉีดวัคซีน จากที่เคยสิ้นสุดในวันที่ 31 สิงหาคม ไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ ในสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ก็ได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีสิทธิตามที่ระบบประกันสุขภาพต่างๆ ได้กำหนดไว้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่เข้ารับการฉีดจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาท ถึง 1,000 บาท แล้วแต่โรงพยาบาล
ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนส่วนใหญ่จะไม่ป่วยเป็นโรคนี้ หรือถ้าป่วยก็จะมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยสามารถพักรักษาตัวที่บ้านได้ ด้วยการพักผ่อนและทานยารักษาตามอาการ เช่น พาราเซตามอลเพื่อลดอาการไข้ ควรหลีกเลี่ยงการทานยาแอสไพริน และยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ไอและยาลดน้ำมูกตามอาการที่เป็น โดยปกติอาการป่วยจะหายไปภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการป่วยมากขึ้น ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป
ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพและรอดพ้นจากการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 ในฤดูฝนปีนี้นะครับ
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี