เอ่ยถึงคำว่า “ภาษี” เชื่อว่าหลายคนในสังคมไทยน่าจะมีอาการ “ส่ายหัว” ทำหน้าเซ็งๆ กันไม่น้อย เห็นได้จากเมื่อใดที่รัฐบาลจะจัดเก็บหรือปรับขึ้นภาษีไม่ว่ารูปแบบใด “เสียงบ่น” จะมาทันทีอยู่ร่ำไป แม้จะเป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือยก็ตาม สะท้อนภาพ“ความเชื่อมั่นในกลไกรัฐ” ที่ดูจะน้อยเสียเหลือเกินในทางกลับกัน “หากรัฐสร้างความเชื่อมั่นได้..ประชาชนก็พร้อมจ่ายภาษีให้อย่างเต็มใจ”
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ แผนงานการพัฒนาภูมิภาคและจังหวัด 4.0 (SIP 4.0) ได้หยิบหยกเรื่องราวของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กระบี่ มาเป็นกรณีศึกษาโดย รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทำ “โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดเก็บรายได้ท้องถิ่น” กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ การทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ มากขึ้น ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรม และปฏิบัติได้จริง
โดยในปีแรกของโครงการ (พ.ศ.2563-2564) คณะทำงานโครงการดำเนินการเก็บภาษี 4 ชนิดคือ 1.ภาษีที่ดิน 2.ภาษีป้าย 3.ภาษีรถยนต์ และ4.ค่าธรรมเนียมโรงแรม โดยในส่วนของภาษีรถยนต์นั้น คณะทำงานเลือกในพื้นที่ อ.เมือง จ.กระบี่ เพราะจากข้อมูลเราพบว่า อบจ.กระบี่ มีรายได้จากภาษีรถยนต์เฉลี่ยเดือนละประมาณ 14 ล้านบาท แต่กลับพบว่ามียอดภาษีรถยนต์ค้างชำระสูงกว่า 50 ล้านบาท
“สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงการชำระภาษี คือ การไม่เห็นถึงประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากเงินที่เขาจ่ายไปนั้น ดังนั้นหากเรามีรูปแบบที่สามารถให้เขาเห็นว่าเงินของเขานั้นได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับพื้นที่หรือชุมชนของเขาได้อย่างไร ก็น่าจะทำให้เขายินดี และเต็มใจ ที่จะจ่ายเงินก้อนนี้ ซึ่งเราเรียกรูปแบบดังกล่าวว่า มาตรการเชิงพฤติกรรม” อาจารย์วีระศักดิ์ กล่าว
การทดลองในระยะแรกของโครงการ เลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ค้างชำระภาษีรถยนต์ประมาณ 2 พันกว่ารายใน อ.เมือง จ.กระบี่ ที่มียอดภาษีรถยนต์ค้างชำระรวมกันประมาณ 8 ล้านบาท โดยใช้เครื่องมือง่ายสุดประหยัดที่สุด คุ้มค่าที่สุด คือการส่ง “จดหมายติดตามเร่งรัด” ที่มีการเพิ่ม ข้อความสะกิดใจ ที่อาจเป็นข้อความหรือภาพที่ทำให้เขาเห็น “คุณค่า” ของเงินที่เขาจ่ายไป เช่น การชำระภาษีรถยนต์ให้ตรงเวลาเป็นหน้าที่อันพึงประสงค์ของพลเมืองดี ภาพแสดงผิวถนนในตัวอำเภอที่ได้รับการปรับปรุงจากภาษีรถยนต์
อาจารย์วีระศักดิ์ เปิดเผยว่า 3 เดือนผ่านไปหลังการทดลองระยะแรก เกิดการชำระเงินภาษีรถยนต์ค้างชำระของคนในกลุ่มนี้เป็นยอดสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดค้างชำระรวม แต่เพื่อให้แน่ใจ การทดลองในระยะที่ 2 จึงเริ่มขึ้น โดยได้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ ระหว่างกรมการขนส่งทางบก กับจังหวัดนำร่อง ซึ่งในส่วนของ จ.กระบี่ ครั้งนี้ได้ขยายพื้นที่ศึกษาจากเดิมคือ อ.เมือง เป็นทั่วทั้งจังหวัด
“เมื่อนำข้อมูลการจ่ายภาษีรถยนต์ค้างชำระในช่วงการทดลอง ไปเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า เราพบว่า อบจ.กระบี่ มีเงินจากภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเดือนละกว่า1.1 ล้านบาท ขณะที่ อปท. ในจังหวัดกระบี่ ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 1.2 ล้านบาทต่อเดือนซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ที่จะมีเพียงค่าอุปกรณ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน และค่าส่งจดหมายที่รวมแล้วไม่กี่แสนบาท ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ทำได้จริง ทำแล้วคุ้มค่า และทำแล้วเพิ่มรายได้ให้กับ อปจ.หรือ อบท. ได้อย่างเป็นรูปธรรม” อาจารย์วีระศักดิ์ ระบุ
ขณะที่ กิตติชัย เอ่งฉ้วน รองนายก อบจ.กระบี่ ยกตัวอย่าง “โครงการถนนร่วมใจ” ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่าง อบจ.กระบี่ กับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจังหวัด ว่าเป็นหนึ่งในรูปธรรมของประโยชน์ที่เกิดจากการที่ อบจ. อบต. รวมถึงเทศบาลในจังหวัดกระบี่ สามารถจัดเก็บภาษีรถยนต์ได้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา อบต. จะมีงบประมาณสำหรับสร้างหรือบูรณะถนนประมาณปีละ 1-2 ล้านบาท ทำให้สร้างได้เพียงถนนลูกรังบดอัดที่ไม่ได้มาตรฐานเท่ากับถนนลาดยาง
“ด้วยข้อตกลงความร่วมมือกันภายใต้โครงการถนนร่วมใจ ที่ให้ อบต. หรือเทศบาล ทำหน้าที่ในการปรับหน้าดินให้แข็งแรงและได้มาตรฐาน โดยมี อบจ. ที่มีการลงทุนตั้งโรงงานยางมะตอยขึ้นมา เป็นคนเข้าไปลาดยางให้เขา การที่ อปท. เหล่านี้ เขามีเงินจากการจัดเก็บภาษีรถยนต์มากขึ้น จึงทำให้ถนนลาดยางที่สร้างโดยใช้งบของแต่ละ อปท. ผ่านโครงการนี้มีโอกาสสร้างได้เร็วขึ้นหรือได้เส้นทางที่ยาวขึ้น”รองนายก อบจ.กระบี่ กล่าว
ด้าน สานนท์ วรพันธ์ หัวหน้ากลุ่มวิชาการ รักษาราชการแทนขนส่งจังหวัดกระบี่ กล่าวเสริมว่างานนี้ช่วยแบ่งเบาภาระของขนส่งฯ ได้อย่างชัดเจน เพราะเจ้าหน้าที่ของ อบจ. เป็นคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับพื้นที่ดีกว่า รู้ว่าใครอยู่ตรงไหน ซึ่งช่วยเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดเก็บรายได้ท้องถิ่น ระยะที่ 2 นอกเหนือจากภาษีรถยนต์ ค่าธรรมเนียมโรงแรม ภาษีป้าย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว โครงการยังมีการต่อยอดและขยายขอบเขตการศึกษาไปถึงรายได้ท้องถิ่นประเภทอื่นๆ
เช่น การเร่งรัดจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะค่าบำบัดน้ำเสีย การใช้ทรัพยากรน้ำ และการพัฒนา Big Data เพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บภาษี ซึ่งทั้งหมดนี้ทางอาจารย์วีระศักดิ์ และทีมวิจัย รวมถึงแผนงานการพัฒนาภูมิภาคและจังหวัด 4.0 (SIP4.0) ในฐานะผู้สนับสนุนโครงการ ได้มีการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานเชิงนโยบาย หน่วยงานด้านงบประมาณ และหน่วยงานภาคปฏิบัติ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญร่วมกัน
อันจะนำไปสู่การผลักดันสู่การใช้จริงในวงกว้างต่อไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี