ในห้วงเวลาต้นปีทศวรรษที่ 2530 ถึง 2540 ผู้เขียนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำข่าวการเมืองพม่าในกรุงย่างกุ้งและตามป่าเขาแนวชายแดนไทย-พม่า
จุดศูนย์กลางของสื่อจากทั่วโลกในเวลานั้นอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่สร้างแบบโคโลเนี่ยนสไตล์ ตรงกลางพื้นที่ 5.6 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนยูนิเวอร์ซิตี้ เอเนนิว ด้านหลังของบ้านติดกับทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชาวพม่าเรียกว่าทะเลสาบอินยา
คฤหาสน์หลังนี้เคยเป็นที่กักบริเวณนางออง ซาน ซู จี เป็นเวลากว่า 15 ปีในระหว่างการต่อสู้ทางการเมืองคฤหาสน์โบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอังกฤษยังเป็นเจ้าอาณานิคมพม่ากลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนและคนทั่วไปเมื่อ นางออง ซาน ซู จี ผู้มีครอบครัวลูกสามีเป็นอังกฤษเดินทางกลับบ้านมาเพื่อเยี่ยมดูอาการนางคิน ยี่ มารดาวัยชราซึ่งป่วยนอนติดเตียงอยู่เป็นเวลานาน และบังเอิญนางออง ซาน ซู จี กลับมาเยี่ยมมารดาตรงกับห้วงเวลาที่นักศึกษาและประชาชนชาวพม่ากำลังก่อหวอดประท้วงรัฐบาลทหาร นักศึกษาประชาชนที่กำลังประท้วงรัฐบาลทำกันเหมือนไก่ถูกสับหัวคือดิ้นพล่านไปหาคนโน้นทีคนนี้ทีแต่ไม่มีแกนนำที่โดดเด่นอย่างชัดเจน เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปว่าออง ซาน ซู จี มาพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ริมทะเลสาบอินย่า ทุกสายตาก็เพ่งมองมาที่บ้านหลังนี้
ในตอนแรกนางออง ซาน ซู จี เปิดบ้านต้อนรับเฉพาะคนภายในที่รู้จักคุ้นเคยเพียงไม่กี่คน และการต้อนรับแขกของนางซู จี เวลานั้นให้แขกเข้าบ้านทางประตูกำแพงด้านข้างซึ่งอยู่ติดกับที่ตั้งของสำนักงานทูตทหารไทย
ผู้เขียนในฐานะผู้สื่อข่าวเป็นคนไทยจึงสามารถไปเยี่ยมเยือนหรือไปคารวะทูตทหารไทยได้และเมื่อขอใช้ห้องน้ำชั้นสองของอาคารจะเห็นความเคลื่อนไหวในคฤหาสน์หลังนั้น ซึ่งต่อมาเราตกลงกันว่าจะเรียกว่า “บ้านทรายทอง” คือการทำข่าวในพม่าเข้มงวดกับสื่อมวลชนมากในยุคนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย เมื่อโทรเข้าไปสำนักงานทูตทหารจากโทรศัพท์ตั้งโต๊ะเสี่ยงที่จะถูกดักฟังได้ เลยต้องสอบถามความเคลื่อนไหวว่า ในบ้านทรายทองเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อเปิดให้คนใกล้ชิดเข้าประตูข้างข่าวแพร่กระจายออกไปคนพม่าส่วนใหญ่ที่ไร้ที่พึ่งทางจิตวิญญาณก็แห่กันมาขอพบนางออง ซาน ซู จี ในฐานะลูกสาวนายพลอองซานที่ประตูหน้าบ้าน ทำให้นางอองซู จี ต้องขึ้นยืนโต๊ะหลังประตูเพื่อให้สูงพอโผล่หน้าให้ประชาชนได้เห็น
เธอปฏิบัติอย่างนั้นนานเข้าทุกๆ วันสุดสัปดาห์เธอต้องมายืนบนโต๊ะหลังประตูหน้าบ้าน แล้วปราศรัยกับประชาชนนับร้อยนับพันคนที่มารอพบหน้าเธอทุกๆ วันเสาร์ อาทิตย์ จนกระทั่งนักศึกประชาชนแพร่กระข่าวทั่วประเทศว่าบัดนี้ขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหารมีวีรสตรีบุตรีนายพลเอกออง ซานเป็นแกนนำการชุมนุมโดยปริยาย
นางออง ซาน ซู จี นำการปฏิวัติประชาชนอยู่ภายในรั้วบ้านประมาณสองเดือนและถึงจุดเดือดในวันที่ 8 ส.ค. 2531(888) เมื่อทหารปราบปราบผู้ชุมนุมครั้งใหญ่ ว่ากันว่ามีคนตายเป็นพันคนบ้านพักริมทะเลสาบถูกปิดตายมีทหารมาตั้งด่านหนาแน่นบนถนนยูนิเวอร์ซิตี้เอเวนิวมีทางเดียวที่ติดตามความเคลื่อนไหวจากบ้านทรายทองได้คือทางรั้วกำแพงข้างบ้านติดกับสำนักงานทูตทหารไทยหรือไม่ก็จากห้องชั้นสองของสำนักงาน
ความที่นางซู จี ใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่มั่นเคลื่อนไหวทางการเมืองและไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนทำให้ทั่วโลกเข้าใจว่าที่นั่นเป็นบ้านพักส่วนตัวของเธอ จนกระทั่งถึงปี 2543 เมื่อนายออง ซาน อู พี่ชายของเธอปรากฏตัวขึ้นแล้วบอกว่าบ้านหลังนี้เขามีสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ออง ซาน อู ซึ่งเปรียบเหมือนชายกลาง ของบ้านทรายทองที่หายตัวไปนานโผล่ขึ้นมาอีกทีบอกว่าเขาไปเป็นวิศวกรอยู่ที่อเมริกาและถือสัญชาติอเมริกันแล้ว
ออง ซาน อู ชายกลางที่เป็นตัวร้ายไม่เหมือนชายกลางในนิยายของ ก.สุรางคนางค์ที่ชายกลางรักเข้าใจและเห็นใจพจมานในบ้านทรายทอง แต่ชายกลางออง ซาน อู เมื่อพูดกันดีๆ แล้วพจมาน ซู จี ไม่ยอมแบ่งสมบัติให้ นายออง ซาน อู เลยฟ้องศาล
พจมาน ซู จี กับชายกลาง ออง ซาน อูสู้คดีกันในศาลนานหลายปีจนถึงปี 2545 ศาลอุทธรณ์พม่ายืนตามศาลชั้นต้นว่าออง ซาน อู มีสิทธิ์คนละครึ่งกับนางซู จีในทรัพย์สินที่ดินและบ้านเลขที่ 54-56 บนถนนอเวนิว
ตั้งแต่นั้นมานางซู จี ย้ายออกจากบ้านทรายทองและต่อสู้คดีในศาลฎีกาใช้เวลานาน จนถึงกลางเดือน ก.ค. 2565 ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าออง ซาน อู มีสิทธิ์ครึ่งในบ้านและทรัพย์สินดังกล่าว
เมื่อคดีสิ้นสุดที่ศาลฎีกาก็เกิดปัญหาว่าแบ่งทรัพย์สินกันยากเพราะคฤหาสน์หลังใหญ่สร้างอยู่ตรงจุดกลางของแปลงที่ดิน 5.6 ไร่ทนายความของ ออง ซาน อู แนะนำให้ขายทอดตลาดคฤหาสน์ทรัพย์สินและที่ดินทั้งหมดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งเท่าๆ กัน
ทนายของออง ซาน อู ประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ดินและตัวอาคาร 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณสามพันสองร้อยสามสิบล้านบาท) ส่วนนายออง ซาน อู เมื่อถูกถามว่าจะขายบ้านเอาเงินแบ่งกันหรือไม่ เขาบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามพูดแต่เพียงว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว”
ทางฝ่ายนางออง ซาน ซู จี ไม่เห็นด้วยกับการขายทอดตลาดเพราะถือว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ที่เธออยากทำให้บ้านหลังนั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ เนื่องจากบ้านและที่ดินรัฐบาลยกให้นางคิน ยี่ หลังจากที่พลเอกออง ซาน ถูกลอบสังหาร และบ้านหลังนี้ถือเป็นแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ที่นางถูกกักบริเวณในนั้นเหมือนฤๅษีนานกว่าสิบห้าปี
นอกจากนั้นบ้านหลังนี้นางออง ซานซู จี เคยใช้เป็นสถานที่ต้อนรับประธานาธิบดีบารัก โอบามา และนางฮิลลารี คลินตันในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ
ดร.ซาซา โฆษกของรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติหรือรัฐบาลเงาของฝ่ายนางออง ซาน ซู จีคัดค้านการขายบ้านโดยให้เหตุผลว่า“บ้านหลังนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องเก็บรักษาไว้ให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย..”
นางออง ซาน ซู จี วัย 77 ปีปัจจุบันถูกขังอยู่ในเรือนจำพิเศษในกรุงเนปิดอ หลังจากศาลตัดจำคุกเธอ 20 ปีจากความผิด 11 คดี ที่ถูกฟ้องรวมกันและยังต่อสู้ในศาลอีกเจ็ดคดีอาญาที่มีอัตราโทษสูงทั้งนั้น ออง ซาน ซู จี ถูกฟ้องเกือบยี่สิบคดี หลังจากทหารยึดอำนาจพรรคเอนแอดี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564
ทูตพิเศษยูเอนที่เยือนพม่าเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวเธอกลับบ้านทันที พลเอกมินอ่อง หล่าย ประธานคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration Council=SAC) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมว่า “คณะผู้บริหารแห่งรัฐจะพิจารณาปล่อยตัวออง ซาน ซู จี เมื่อศาลพิจารณาคดีเธอเสร็จสิ้นทุกข้อกล่าวหา”
ชะตากรรมของนักการเมืองวัย 77 ปีหลังจากเสร็จสิ้นคดีทุกข้อกล่าวหายังไม่แน่นอนว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านทรายทอง (พม่า) หรือไม่
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี