วันนี้ ขอขีด “เส้นใต้บรรทัด” ที่คำว่า “การทำหน้าที่นิติบัญญัติที่มีความรับผิดชอบและรอบคอบรัดกุม” เพื่อนำไปสู่การ“จับประเด็น” เรื่องการเสนอให้ถอนร่างพระราชบัญญัติกัญชาและกัญชง ออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แบบ ไม่หลอน” ด้วยฤทธิ์กัญชา
1) ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนว่า การเสนอให้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไปก่อน ไม่ใช่ “การตีตก” หรือ
“การคว่ำกฎหมายทิ้ง” แต่เพราะกฎหมายถูกเพิ่มเติมเข้ามาจากร่างที่สภาได้ร่วมกัน “รับหลักการ” เป็นจำนวนหลายสิบมาตรา ซึ่งจะถูกหยิบยกมา “อภิปราย” ในสัปดาห์สุดท้ายของสมัยประชุม และอาจนำไปสู่การ “ตีตก” ที่แท้จริง หากมีการโหวตเพื่อลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่ในวาระ 2 และ 3
เรื่องนี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้เสนอต่อสภา ให้กรรมาธิการถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป เพื่อใช้เวลา 1 เดือนระหว่างปิดสมัยประชุมสภา ปรับปรุงแก้ไขให้มีความรอบคอบรัดกุม แล้วเมื่อเปิดสมัยประชุมใหม่ ก็นำเข้ามาบรรจุเป็นวาระเพื่อการพิจารณาต่อไป
โดยนายสาทิตย์ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่ได้คัดค้านร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยเฉพาะการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือใช้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีเจตนาที่ต้องการเห็นเนื้อหาในการกำกับควบคุมการใช้กัญชา ให้อยู่ในกรอบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน เนื่องจากร่างกฎหมายที่รับหลักการ และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา
มีการแก้ไขโดยเพิ่มเนื้อหาจำนวนมาก จากเดิมมี 45 มาตรา แต่คณะกมธ.ปรับแก้เพิ่มเป็น 95 มาตรา คือ มีการเพิ่มใหม่ 69 มาตรา และมีการตัดบางมาตราทิ้ง โดยเฉพาะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจจะกำกับดูแลควบคุมไม่ดีพอ เช่น การให้ประชาชนทั่วไปขอจดแจ้งปลูกกัญชาครัวเรือนบ้านละ 15 ต้น ใช้เพื่อประโยชน์ในครัวเรือน แต่มีการบัญญัติไว้ว่าเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เพื่อประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน
“หากเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2565 ไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป อาจทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบรอบด้านได้ แต่หากถอนออกไปสามารถจะทำให้แก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายได้เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการถูกคว่ำในวาระ 2-3”
นายสาทิตย์กล่าว
เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่าการเสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.กัญชาเป็นเกมการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลในการตัดคะแนนนิยมทางการเมือง นายสาทิตย์กล่าวว่า การเสนอถอนร่างกฎหมายมีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองฝ่ายค้านเห็นด้วย จึงยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องที่มาตัดแข้งตัดขากัน และยืนยันว่า ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องเนื้อหาของกฎหมาย หากสภารีบตรากฎหมายโดยไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นย่อมไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์มีเพียง 40 เสียงเท่านั้นที่เห็นด้วยกับการถอนร่างกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นมติของสภา ไม่ใช่มติของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง เราเชื่อว่าไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันในพรรคร่วมรัฐบาล
2) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องที่เราเป็นห่วงอนาคตของเยาวชนในประเทศ สถาบันการศึกษา รวมถึงด้านอื่นๆ ซึ่งพรรค ปชป. สนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ไม่เห็นด้วยกับกัญชาเสรี เราก็มานั่งดูว่าหากเข้าข่ายที่จะเดินไปสู่ทิศทางกัญชาเสรี เราก็ต้องแสดงความคิดเห็นและแสดงออกเพื่อสะท้อนว่า อย่างน้อยยังมีพรรคการเมืองที่มีความห่วงใยอนาคตประเทศ และเชื่อว่ามีอีกหลายพรรคที่มีความเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ส่วนกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ… ระบุว่า หากประกาศให้กัญชากลับเป็นยาเสพติดอีก จะทำให้คุกไม่พอขังคนทำผิดนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ขอให้เรามองภาพรวมระยะยาวของประเทศเป็นหลัก ส่วนปัญหาเฉพาะหน้ามีอะไรก็ค่อยแก้ไขไปตามสถานการณ์ แต่ต้องไม่ให้กัญชามีผลมาทำร้ายประเทศในระยะยาว ไม่ได้มีความประสงค์จะทำให้เป็นประเด็นทางการเมืองความจริงกฎหมายที่พรรค ปชป. เสนอแล้วไม่ผ่านก็มีหลายครั้ง เช่น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอ 7 ฉบับก็ผ่านเพียงแค่ฉบับเดียว ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปตำหนิพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ยกมือให้ ว่า จะมาเตะตัดขาหรือจะมาทำอะไร เพราะเราเคารพเสียงของสภาฯ
เมื่อถามว่า ภท. ระบุหากไม่มีกฎหมายดังกล่าวมาควบคุม จะเป็นการทำร้ายประชาชน นายจุรินทร์กล่าวว่า อาจจะมองคนละมุมกัน แต่ในส่วนของพรรค ปชป. มองว่าเป็นการเข้าไปแก้ไขปัญหาการทำร้ายประชาชน ส่วนร่างกฎหมายดังกล่าว จะบรรจุเข้าระเบียบการประชุมเมื่อไหร่นั้น ตนไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการฯ ที่จะไปปรับปรุงแก้ไขให้บรรลุเป้าหมายให้กลายเป็นกฎหมายกัญชาเพื่อการแพทย์ ไม่ใช่กัญชาเสรี
ซึ่งนี่คือเป้าหมายของพรรค ปชป. โดยระหว่างนี้ก็ขอให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาว่าจะออกกฎระเบียบอะไรเพื่อกำกับให้การใช้กัญชาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือ เป็นการใช้กัญชาทางการแพทย์ไม่ล้ำไปสู่กัญชาเสรี
3) เรื่องนี้มีการพูดจาสื่อสารแบบบิดเบือน เคลื่อนประเด็นไปเป็นอื่น จนประชาชนสับสนและเกิดความโกรธ กลัว เกลียด กันไปต่างๆ นานา เช่น ทำให้คนเข้าใจว่ากฎหมายตกไปแล้ว ซึ่งไม่จริง ทำให้คนเข้าใจว่า กัญชาต้องกลับมาเป็นยาเสพติดอีกครั้งตามกฎหมาย ซึ่งก็ไม่จริง
การปลูกที่ขออนุญาตอย่างถูกต้อง ไม่ได้มีความผิดใดๆ เลย การนำไปใช้ก็เช่นเดียวกัน ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ที่ลงนามโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังบังคับใช้อยู่ คือ... ข้อ ๓.อนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีน และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากสมุนไพรควบคุมตามข้อ ๑ (กัญชา หรือสารสกัดจากกัญชา) ให้กับผู้ป่วยของตน ข้อ ๔. อนุญาตให้ผู้ป่วยตามข้อ ๓. สามารถครอบครองขนย้าย ดูแล เก็บรักษา ใช้ประโยชน์ในปริมาณที่จ่ายให้สำหรับการใช้ประโยชน์เป็นเวลาสามสิบวัน
ดังนั้น การพูดใหญ่พูดโตให้คนตกอกตกใจ เข้าใจผิด โกรธเกลียดชิงชัง จึงเป็น “ความสกปรก” ของจริง
4) นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซึ่งอยู่พรรคภูมิใจไทย) แถลงเมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมาว่า ...
“แม้ร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ยังคงต้องอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ก็จะควบคุมการใช้กัญชา กัญชง ไปจนกว่าพระราชบัญญัติฉบับสมบูรณ์จะออกมาบังคับใช้ หรือหากมีกรณีใดที่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายมา
รองรับ ก็มีคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชง ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน สามารถพิจารณาออกประกาศหลักเกณฑ์ต่างๆ มาดูแลเพื่อให้เกิดความเหมาะสมเพิ่มเติมได้” นางสาวไตรศุลีกล่าว
อนึ่ง คำว่า “กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้” ประกอบไปด้วย ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ พ.ศ.๒๕๖๕ มีผลบังคับมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิ.ย.๒๕๖๕, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ที่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ มิ.ย.๒๕๖๕ และประกาศกรมอนามัย เรื่อง การนำใบกัญชามาใช้ในการทำ ประกอบหรือปรุงอาหาร ในสถานประกอบกิจการอาหาร พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้น
จึงไม่เข้าใจว่า จะตีโพยตีพาย หลอกผู้หลอกคน ปั่นหัวให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องเตะตัดขาทางการเมือง แทนเรื่อง “การออกกฎหมายอย่างมีความรับผิดชอบต่อประชาชน” ซึ่งเป็นหน้าที่และ “สามัญสำนึก” ของฝ่ายนิติบัญญัติไปทำไม ในเมื่อกฎหมายก็ยังไม่ตกไป แค่ให้เอาไปพิจารณาแก้ไขให้รอบคอบรัดกุมขึ้น หากเห็นว่ารอบคอบรัดกุมดีแล้ว ก็เสนอเข้ามาอีกรอบ เพื่อบรรจุเป็นวาระการพิจารณา ก็แค่นั้นเอง
คนปลูกก็ปลูก ถ้าปลูกโดยขออนุญาตถูกต้องก็ไม่เป็นอะไร การซื้อขายที่กฎหมายอนุญาตก็ทำตามกฎหมาย (ชั่วคราว) ที่บัญญัติไว้นั้น ก็ดำเนินต่อไป การใช้ในทางการแพทย์ก็ทำได้ แล้วเรื่องนี้ใครเดือดร้อน?
เอาจริงๆ ก็เห็นแต่พรรคภูมิใจไทยกับสื่อบางกลุ่มเท่านั้นเอง ที่เดือดเนื้อร้อนใจ และละเลงเรื่องนี้เละเทะ แทนที่จะเป็น “สติปัญญา” ให้ประชาชน ก็เมามันกันจนหลอน
5) นายศุภชัย ใจสมุทร หลังจากครองสติได้แล้ว ก็ให้สัมภาษณ์อย่างสุขุมขึ้นว่า การถอนร่างออกไป ไม่ได้แปลว่า
นโยบายของพรรคภูมิใจไทยล้มเหลว เพราะกัญชาได้ออกจากความเป็นยาเสพติดแล้ว เป็นไปตามการทำงานในสภาที่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งตอนนั้น เดินหน้าได้อย่างราบรื่น สส., สว. เห็นด้วย ต่อมาจึงเป็นขั้นตอนของ คณะกรรมการ ป.ป.ส. ซึ่งก็เห็นชอบปลดกัญชาออกจากยาเสพติด แล้วให้รัฐมนตรีสาธารณสุขรับรองลงนาม ทำให้กัญชา ไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นสารสกัดที่มีค่า THC สูงกว่า 0.2% กฎหมายบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565
หลังจากนั้น มีประกาศมากมายออกมาควบคุมการใช้ เท่ากับว่า นโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ ทำสำเร็จแล้ว แต่ที่เราเสียดายคือ พระราชบัญญัติ ที่พรรคการเมืองเพิ่งตีตกไป มันจะทำให้การใช้กัญชานั้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เพราะเราเอาทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้องมารวมกันเลย คนที่ใช้ทางการแพทย์ จะมีหลักยึด ผู้ที่ใช้ในฐานะพืชเศรษฐกิจก็เช่นกัน ส่วนคนที่ใช้ ในทางนันทนาการ จะมีกฎหมายควบคุมเข้มงวดขึ้น
แต่ถามว่า เราท้อแท้ไหม จะปล่อยให้กฎหมายถูกตีตกไปดื้อๆ ไหม ขอตอบว่า ไม่ ทางพรรคภูมิใจไทย จะกลับมาทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เช่นกันคณะกรรมาธิการ เท่าที่คุยกันมา ไม่มีใครท้อ ตัวแทนจากพรรคที่โหวตต้านกฎหมายก็ไม่ท้อ และรู้สึกเสียดายเช่นเดียวกับกระผม เราจะทำทุกทางเพื่อให้ พ.ร.บ.กัญชาผ่านมติในสภา และเป็นกฎหมายสำคัญ ที่จะทำให้กัญชา กลายเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน”
สรุป : เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องบิดเบือน ปลุกปั่นแฟนคลับของตัวเองให้ “ผิดหลง” ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อหวังผลในทางการเมืองช่วงใกล้เลือกตั้ง
กัญชา มีทั้งประโยชน์และโทษ มีทั้งคนที่ต้องการและไม่ต้องการ
การทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติจึงต้องตั้งอยู่บน“ความรับผิดชอบและความรอบคอบ” เพื่อ “ประโยชน์สูงสุดและความปลอดภัยสูงสุด” ของคนทั้งประเทศ
กรุณาตั้งสติกันเถอะครับ แล้ว “พูดความจริง” ต่อกัน
ความรับผิดชอบต่อผู้คนเรื่องความปลอดภัยในการปลูก ขาย และใช้กัญชา ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กรรมาธิการควรเผยแพร่ร่างกฎหมายให้สังคมร่วมพิจารณา และเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เป็นตัวอย่างของ “ผู้มีวุฒิภาวะ” และ“สร้างการมีส่วนร่วม” แทนรัฐมนตรีสาธารณสุขและพรรคของเขาที่ยังไม่มีสองสิ่งนี้มากพอ
ได้แต่งอแง หัวฟัดหัวเหวี่ยง และเลี่ยงที่จะบอกความจริงว่า กฎหมายยังอยู่ และยังไม่มีใครได้รับผลกระทบเลย ขอให้ทุกคนสบายใจ หากมีช่องโหว่ใดๆ อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีพอให้ออกประกาศมาอุดช่องโหว่นั้นๆ เรื่องนี้เราต้องการ “ฉันทามติ” ที่ทุกคนจะสบายใจร่วมกันแค่นั้นเอง
และการเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ใครเห็นเหมือนใคร ใครโหวตเหมือนใครหรือไม่เหมือนใคร เป็นเรื่องปกติของการทำงานในสภา ไม่ต้องปั่นหัวคนว่า ประชาธิปัตย์จับมือกับเพื่อไทย ไม่ต้องกรีดน้ำตาว่าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันทำไมทำกันแบบนี้ เอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งครับ #ไม่ใช่เอาแต่โทษคนนั้นคนนี้พรรคนั้นพรรคนี้ #หยุดหลอกลวงประชาชนกันเถอะ จบ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี