แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...■■ แต่ว่าถ้าอายุมากขึ้นมันก็เป็นประโยชน์ได้เปรียบ คนไหนที่อายุน้อยๆ เสียเปรียบ เพราะไม่มีความรู้ เรียกว่าคนที่อายุน้อยๆ เป็นคนที่เซ่อ เป็นคนที่ไม่ ไม่มีความสามารถ ฉะนั้นคนที่อายุมากๆเป็นคนที่ได้เปรียบ เพราะว่าถ้าใช้คุณสมบัติของคนที่มีอายุ เรียกว่ามีประสบการณ์ ก็ต้องถือว่าเป็นคนที่ได้เปรียบ แล้วก็คนที่อายุน้อย อาจจะดูถูกคนที่อายุมาก เพราะมีปมด้อยนั่นเอง คนที่อายุน้อยๆ นึกว่าไม่มีความสามารถ เลยต้อง ต้องดูถูกคนที่อายุมาก แต่ก็ขอบอกว่าคนที่อายุมากถ้ารักษาความดี รักษาคุณสมบัติ คุณธรรมก็ได้เปรียบคนที่อายุน้อย และในประเทศชาติถ้ามีคนที่มีอายุมากและได้เปรียบ ชาติบ้านเมืองจะก้าวหน้าได้ ถ้ามีแต่คนเด็กๆ ที่ไม่ถือว่ามีความสามารถแล้ว ชาติบ้านเมืองไม่ก้าวหน้า จะต้องพูดอย่างนี้ท่านผู้ใหญ่ก็อาจจะบอกว่า นี่แหละ คนที่อายุมากนี่มีประโยชน์ แต่คนที่อายุมาก แต่ว่าไม่ใช้ความได้เปรียบของความที่อายุมากน่ะก็เป็นเด็ก เป็นคนที่เยาว์ในความคิดและอันตรายมาก เพราะมีคนที่เขาบอกว่าเขาแก่แล้ว แล้วน้อยใจว่าแก่ เมื่อน้อยใจว่าแก่ คนอย่างนี้เป็นคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ แล้วคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่นี่ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้ มัวแต่ไปน้อยใจว่าอายุมากแก่แล้ว ก็ไม่ใช้ความอายุมากเป็นประโยชน์นี่น่าอนาถ... (ความตอนหนึ่งจากพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดา วันที่ 4 ธันวาคม 2549)...
■■ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท จะมีผลบังคับใช้ เพราะได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2565 แบ่งเป็นดังนี้ โดยเรียงตามลำดับวงเงินรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1,090,329.6 ล้านบาท งบรายจ่ายบุคลากร 772,119.1 ล้านบาท รายจ่าย
งบกลาง 590,470 ล้านบาท รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 306,618 ล้านบาท รายจ่ายบูรณาการ 218,477.7 ล้านบาท และรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 206,985.6 ล้านบาท จะเห็นว่ารายจ่ายสำหรับบุคลากรก็ยังคงมาเป็นอันดับสองเหมือนเดิม นั่นแสดงว่างบเพื่อการนี้ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย ซึ่งแสดงว่าประเทศไทยยังคงทุ่มเงินงบประมาณเพื่อเป็นเงินเดือนและเงินตอบแทนให้บุคลากรภาครัฐในจำนวนมากมายมหาศาล แต่ทว่าเมื่อพิจารณาผลลัพธ์ที่เกิดจากการจ่ายเงินเพื่อบุคลากรแล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามว่าคุ้มค่ากับการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลหรือไม่...
■■ ครั้นเมื่อดูโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ 2,390,000 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 75.04 ของเงินงบประมาณทั้งหมด รายจ่ายลงทุน 695,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.82 ของเงินงบประมาณทั้งหมด รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 100,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.14 ของเงินงบประมาณทั้งหมด ประมาณการ
รายได้สุทธิ 2,490,000 ล้านบาท งบประมาณขาดดุล 695,000 ล้านบาท (สนใจดูรายละเอียด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ได้จากราชกิจจานุเบกษา หน้า 1 เล่ม 139 ตอนที่ 57 ก วันที่ 19 กันยายน 2565...
■■ มีข่าวระบุว่างบลับของทหาร หรืองบลับกลาโหมในปี 2565 ได้รับการอนุมัติเป็นเงินรวม 1,321 ล้านบาท เป็นของกองทัพบก 760 ล้านบาท ของกองทัพอากาศ 560 ล้านบาท งบลับนี้เป็นงบรายจ่ายสำหรับบุคลากร โดยกระทรวงกลาโหมต้องเบิกจ่ายงบนี้ภายในเดือนกันยายน 2565 หลายคนยังคงจำได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนี้ชื่อ ประยุทธ์
จันทร์โอชา ทราบแล้วเปลี่ยน...
■■ เมื่อวันที่ 21 กันยายน เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมคณะกรรมาธิการฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนาฬิกาหรูหลายเรือนที่ ประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างว่ายืมเพื่อน โดยขอเชิญ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ หม่อมอุ๋ย ผู้จัดการมรดกของปัฐวาท สุขศรีวงศ์ คนที่ประวิตรอ้างว่าให้ยืมนาฬิกาหรู ไปให้ปากคำ แต่ไม่แน่ใจว่าหม่อมอุ๋ยจะไปตามคำเชิญหรือไม่ และจะเชิญอธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ไปให้ปากคำด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปให้ปากคำหรือไม่ นอกจากนี้จะเชิญผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้ากรมกำลังทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยเข้าชี้แจงกรณีอื้อฉาวการบรรจุหญิงสองคนที่ตกเป็นข่าวเข้าเป็นกำลังพลของตำรวจและทหารด้วย เรื่องนี้ปรากฏว่ากรรมาธิการของ สส. พยายามหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ แต่ทว่าฝั่งของสมาชิกวุฒิสภากลับดูเสมือนนิ่งๆ เฉยๆ เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผลสอบใดๆ ออกมา เมื่อสอบถามไปยัง สว. ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังอยู่ในกระบวนการสอบหาความจริง แต่สาธารณชนก็วิพากษ์ว่า คงใช้เวลาสอบหาความจริงไปเรื่อยๆ จนกว่า สว. ชุดนี้จะหมดอำนาจ...
■■ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายน กำหนดให้ปลดโรคโควิด-19 ออกจากโรคต้องห้ามสำหรับชาวต่าวด้าวที่เดินทางเข้าประเทศไทยหรือมีถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย ส่วนโรคต้องห้ามดังต่อไปนี้ให้คงไว้ตามเดิมคือ โรคเรื้อน วัณโรคระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจของสังคม โรคยาเสพติดให้โทษ โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 ส่วนโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยมีเพิ่มเติมคือโรคพิษสุราเรื้อรัง เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าต่อไปนี้โรคโควิด-19 ไม่ใช่ข้อห้ามเพื่อไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวเข้าประเทศไทยอีกต่อไป ส่วนผู้ที่จะเข้ารับราชการในราชอาณาจักรไทยต้องไม่มีอาการโรคอารมณ์ผิดปกติ (mood disorders) ที่มีอาการเด่นชัด รุนแรงและเรื้อรัง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ ส่วนโรคอื่นๆ ที่ยังถูกกำหนดเป็นข้อห้ามคือ โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจของสังคม โรคยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรัง ที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ แต่ให้ยกเลิกโรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ...
■■ หลายคนที่ติดตามชมงานพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 มาโดยตลอด โดยเฉพาะงานพระราชพิธีในวันที่อัญเชิญหีบพระบรมศพไปประกอบพระราชพิธี ณ วิหารเซนต์จอร์จ ในพระราชวังวินเซอร์ ต้องได้เห็นภาพสุนัขทรงเลี้ยงพันธ์ุเวลช์ คอร์กี (Welsh Corgi) ทั้งสองชีวิตที่เฝ้าส่งเสด็จ สุนัขทรงเลี้ยงมีชื่อว่ามิคและแซนดี จากข่าวในพระราชสำนักของบักก้ิงแฮมระบุว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 ทรงโปรดปรานสุนัขพันธุ์นี้มาก ทรงเลี้ยงสุนัขพันธ์ุนี้มาเป็นระยะเวลา 6 ทศวรรษ ตามประวัติระบุว่าทรงเลี้ยงสุนัขพันธ์ุนี้ทั้งหมดตั้งแต่ทรงเริ่มเลี้ยงรวม 30 ชีวิต หรือ 14 รุ่น โดยสืบเผ่าพันธุ์มาจากสุนัขคู่พระทัยชื่อซูซาน และเมื่อประมาณ 10 ปีเศษที่ผ่านมา สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮม
ได้ยุติการเพาะพันธุ์สุนัขพันธ์ุนี้ เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 รับสั่งให้ยุติการเพาะพันธุ์ เนื่องจากพระองค์ทรงวิตกว่า หากพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว สุนัขทรงเลี้ยงจะอยู่โดยไม่มีพระองค์ แต่ข่าวระบุว่า เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระราชโอรสของพระองค์จะทรงรับมิคและแซนดีไปทรงเลี้ยงดูต่อ นี่คือเรื่องราวที่แสนน่ารัก น่าประทับใจที่ผู้คนมากมายให้ความสนใจกับสุนัขทรงเลี้ยงของควีนเอลิซาเบธ ที่ 2...
■■ ปิดท้ายด้วยสินค้าไทยที่พยายามเจาะเข้าไปในตลาดซาอุดีอาระเบีย เท่าที่ทราบนั้นมีสินค้าไทยหลายตัวพยายามจะเข้าไปในตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมากแห่งนี้ให้จงได้ และทราบมาว่า สินค้าสองชนิดของเสี่ยเป้า-ประยุทธ มหากิจศิริ คือลองกา (longa) น้ำลำไยซ่า และสารสกัดลำไยเข้มข้น Natural Essence P 80 โดยล่าสุดเสี่ยเป้าส่ง สรกฤช วรรณลักษณ์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านประชาสัมพันธ์ของบริษัทไปเจาะตลาดในกรุงริยาด และเมืองสำคัญอื่นๆ ในซาอุฯ...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี