วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องราวที่ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นำมาเสนอในงานแถลงข่าวประจำสัปดาห์ เมื่อวันที่24 ก.ย. 2565 โดยเป็นกรณีที่ กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมกราคม 2565 ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ฝ่ายปกครองจังหวัดอุดรธานี โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตอุดรธานี ได้ตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึกในการต่อต้านยาเสพติด รวมประมาณ 1,000 คน
โดยข้อร้องเรียนนั้นระบุว่า การตรวจปัสสาวะดังกล่าวไม่ชัดเจนว่ามีกรณีจำเป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดเสพยาเสพติด ซึ่ง กสม. ได้พิจารณาคำร้อง บทบัญญัติของกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนและคำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของบุคคลถือเป็นการกระทำที่อาจกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจในการตรวจหาสารเสพติดได้
“ทั้งนี้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดพ.ศ. 2519 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุดังกล่าว ได้กำหนดเงื่อนไขเป็นหลักการในลักษณะที่คล้ายกัน ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการตรวจหรือทดสอบหรือสั่งให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดตรวจหรือทดสอบว่ามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายได้เฉพาะกรณีมีความจำเป็นและมีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเสพยาเสพติดเท่านั้น”
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า การดำเนินการของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 เป็นการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกในการต่อต้านยาเสพติดตามโครงการจัดระเบียบสังคมรอบสถานศึกษา (CAMPUSSAFETY ZONE) โดยไม่ได้ขอความยินยอมจากนักศึกษาเป็นการล่วงหน้า

กสม. จึงเห็นว่า แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีเจตนาที่ดีในการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของนักศึกษา เพื่อป้องปรามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและค้นหานักศึกษาที่ใช้สารเสพติดนำเข้าสู่ระบบการรักษาและบำบัด แต่เมื่อการตรวจหาสารเสพติดดังกล่าวเป็นการกระทำในลักษณะบังคับและไม่ได้ขอความยินยอมก่อน และยังมีลักษณะเป็นการเหมารวมเฉพาะกลุ่มบุคคลโดยไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเสพยาเสพติดให้โทษ จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ
นอกจากนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 กสม. เคยให้ความเห็นในกรณีการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของผู้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ซึ่งเป็นการตรวจปัสสาวะในลักษณะเหมารวมเฉพาะกลุ่มบุคคล โดยไม่มีเหตุอันควรเชื่อตามกฎหมายว่ามีบุคคลเสพยาเสพติดให้โทษว่าเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของนักศึกษาในลักษณะเหมารวม จึงเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคลโดยไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามกฎหมายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ป.ป.ส.) ให้ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (แอมเฟตามีน) สรุปได้ดังนี้
ให้กำชับเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หรือบุคคลจากหน่วยงานอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติดที่บังคับใช้ในปัจจุบันอย่างเคร่งครัด กรณีมีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมายว่าบุคคลนั้นเสพยาเสพติดให้โทษ และในกรณีขอความร่วมมือในการตรวจหาสารเสพติดจากปัสสาวะต้องแจ้งความประสงค์ในการดำเนินการกับผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการขอความยินยอมก่อนการดำเนินการและต้องได้รับความยินยอมโดยอิสระจากผู้จะถูกตรวจปัสสาวะโดยไม่มีเงื่อนไข
และการให้ความยินยอมนั้นต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและมีถ้อยคำที่ไม่กำกวม แยกออกจากส่วนอื่นได้อย่างชัดเจนในรูปแบบที่เข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ใช้ภาษาที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน และผู้ให้ความยินยอมสามารถยกเลิกความยินยอมได้ทุกเมื่อ อันสอดคล้องและเป็นไปตามหลักการให้ความยินยอมโดยอิสระเป็นมาตรฐานสากลตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation : GDPR)
นอกจากนี้ในกรณีที่มีเหตุอันจำเป็นต้องขอความร่วมมือในการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในกลุ่มบุคคลที่เป็นเด็ก จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลของเด็กที่จะถูกตรวจปัสสาวะร่วมด้วย ซึ่งการดำเนินการนั้นต้องกระทำไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและการดำเนินการนั้นต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วย!!!

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี