บีทีเอสซีได้เผยแพร่วีดีโอออกทางแฟนเพจ รถไฟฟ้าบีทีเอส เนื้อหาเปิดเผยหนี้สินที่ตนเองแบกรับภาระแทนภาครัฐ เพราะรัฐยังไม่จ่ายค่าเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ที่ติดค้างอยู่หลายหมื่นล้านบาท
มีข้อความระบุว่า
“คนเราจะอดทนกับการแบกหนี้ได้นานแค่ไหน…
ทำงานแต่ไม่ได้เงิน ต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกวัน…
ผู้มีอำนาจโยนไปโยนมา ไร้การตัดสินใจ ถึงเวลาเข้ามาจัดการปัญหา อย่าหนีปัญหา…
อย่าปล่อยให้เอกชนสู้เพียงลำพัง ถึงเวลาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว 40,000 ล้าน”
พร้อมแฮชแท็ก #ติดหนี้ต้องจ่าย
ล่าสุด มีการฉายวีดีโอบนจอภาพตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และตามป้ายโฆษณาในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส
ข้อความที่ปรากฏ โดยมีชาวโซเชียลถ่ายภาพและเผยแพร่ต่อในสื่อออนไลน์ เช่น ติดหนี้....ต้องจ่าย หรือผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบ ฯลฯ
1. น่าอับอายมาก... รัฐบาลให้ดำเนินการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริการประชาชน นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มท.1 พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปทำพิธีเปิดเอง
ประชาชนได้ใช้บริการต่อเนื่อง นั่งฟรีมาจนวันนี้ เป็นเวลากว่า 3 ปี
แต่อนิจจา กทม.ไม่จ่ายค่าจ้างเดินรถให้เอกชน ทั้งหนี้เก่า และค่าเดินรถในแต่ละวัน
ในขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง!!!!
มัวแต่เกรงใจผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง เกรงพรรคร่วมรัฐบาล กระทั่งเสียรังวัดภาวะผู้นำไปเลยสำหรับกรณีนี้
2. ผลจากการไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการเด็ดขาด โอ้เอ้ โยกโย้ไปมา ความเสียหายบานปลาย
และเป็นไปตามคาด คนที่จะต้องรับผิดชอบในทางประวัติศาสตร์ ก็ไม่พ้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้า คสช. ผู้ออกคำสั่ง คสช. 3/2562 เพื่อแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว แล้วทำค้างๆ คาๆ ไม่เสร็จสิ้นตามอำนาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่เอกชนอยู่ในวันนี้เอง
ในขณะที่ฝ่ายคัดค้าน ดึงเรื่อง โยกโย้ ก็ไม่ร่วมรับผิดชอบอะไรเลย
แถมยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการที่พลเอกประยุทธ์เสียภาวะผู้นำในเรื่องนี้เสียอีก
3. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะนักวิชาการด้านวิศวกรรมขนส่ง ติดตามการแก้ปัญหาระบบรถไฟฟ้าในบ้านเรามาโดยตลอด ให้ความเห็นว่า
หากไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เอกชนได้ ก็ควรต้องพิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานให้แก่เอกชน จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ไม่ใช่โยนเรื่องกันไป-มา หรือ โยนเรื่องกลับไปให้ กทม.พิจารณา
ที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวคสช. ซึ่งเริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ต้น ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนแบกรับปัญหามาถึง 3 ปี เช่นนี้
“ถึงเวลาแล้วที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะต้องตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. และไม่โยนเรื่องกลับไปให้กรุงเทพมหานครอีก เพราะจะทำให้เป็นการเเก้ปัญหาที่ไม่จบ และต้องพิจารณาถึงข้อเสนอของกทม. ว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้ทุกฝ่าย”
3.1 ดร.สามารถระบุว่า ข้อเสนอของกทม.นั้น ประกอบไปด้วย 1.ขอให้รัฐบาลช่วยในเรื่องค่างานโยธาที่รับมาจาก รฟม. วงเงินประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท 2. ขอให้รัฐบาลช่วยในเรื่องของค่าระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 7.5 หมื่นล้านบาท เหล่านี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องพิจารณาว่าสามารถให้การช่วยเหลือได้หรือไม่ รวมถึงในส่วนของภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถ อีกกว่า 2 หมื่นล้าน ที่ต้องการให้ ครม. ช่วยหาทางออกให้แก่กทม.
“จากข้อเสนอของกทม. หากรัฐบาลให้การช่วยเหลือไปแล้ว เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะยังไม่จบลง เนื่องจากในการเปิดประมูลใหม่ หลังจากจบสัญญาสัมปทานในปี 2572 ก็จะติดสัญญาจ้างการเดินรถส่วนต่อขยายถึงปี 2585 ดังนั้น ในเวลานี้ มท.1 จะต้องเร่งเเก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาว่า นอกจากการต่อสัญญาสัมปทานให้บีทีเอสซี จะมีทางออกอื่นอีกหรือไม่ หากไม่พบทางออกอื่นก็ต้องต่อสัมปทานให้แก่บีทีเอสซีไปอีก 30 ปี จนถึง 2602”
3.2 ดร.สามารถชี้ว่า เรื่องนี้ ทั้ง มท. 1 และนายกรัฐมนตรี จะต้องกล้าที่จะตัดสินใจ และกล้าที่จะเดินหน้า
“ต้องย้ำว่า อย่าโยนเรื่องนี้กลับไปให้กทม. เพราะกทม. ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และเกินอำนาจของกทม.ที่จะดำเนินการได้แล้ว กับภาระหนี้ที่เกิดขึ้นกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าข้อเสนอของกทม.ส่งกลับไปยังมหาดไทย คือ การให้ รัฐบาลช่วยเหลือทั้งหมด”
กระทรวงมหาดไทยควรนำเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เข้าสู่ที่ประชุม ครม.โดยเร็วที่สุด และไม่ควรยืดเยื้อไปจนมีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนประเด็นข้อกฎหมาย ส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งผู้บริหารกทม. อ้างว่าทางบริษัทกรุงเทพธนาคม หรือเคที ไปว่าจ้างบีทีเอสซี ให้เดินรถไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ไม่มีหนังสือมอบหมายงานให้เคที ดร.สามารถ อธิบายว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่ง คสช. 3/2562 ซึ่งให้กทม.ไปว่าจ้างเอกชนเดินรถ และการดำเนินการดังกล่าวมีคำสั่งคสช.คุ้มครองอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุที่กทม.กังวลว่าการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น มีข้อเท็จจริงว่า สัญญาดังกล่าวได้มีคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้กทม.ชำระหนี้ให้บีทีเอสซี ซึ่งแสดงว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ตอนที่ขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้บริษัทบีอีเอ็ม ก็ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ในลักษณะเดียวกันนี้เอง
3.3 จากการที่เอกชนออกมาทวงหนี้ กทม. ครั้งนี้ ดร.สามารถระบุว่า เป็นเรื่องชอบธรรม เพราะที่ผ่านมากว่า 3 ปี บีทีเอสซียังไม่ได้รับเงินจากการรับจ้างเดินรถไฟฟ้า
“ส่วนตัวยังมองไม่ออกว่า หากถึงวันหนึ่งที่เอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ จะเป็นอย่างไร เพราะคงไม่มีเอกชนรายใดจะทนทำงานโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างยาวนานได้เช่นนี้ ส่วนตัวจึงอยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรี ว่าควรเร่งพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อหาทางออกที่ดี และไม่ควรโยนเรื่องกลับไปยังกทม. หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็ให้ต่อสัญญาสัมปทานให้แก่เอกชน”
สุดท้าย หากนายกฯ พลเอกประยุทธ์ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร ยังปล่อยมีการโยกโย้ไปเรื่อยๆก็หมายถึงภาวะผู้นำถูกสั่นคลอนทำลายลงไปเรื่อยๆ
เพราะเสมือนกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ทำตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่มีสภาพเป็นกฎหมาย สั่งการด้วยตนเอง
และเป็นการปล่อยให้เอกชนรับภาระต้นทุน ในกิจการสาธารณะ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลเสียเอง
ต่อไป ใครจะกล้าเข้ามาช่วยงานส่วนรวมอย่างจริงใจ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี