วิชาประวัติศาสตร์จำเป็นสำหรับเด็กไทย หรือไม่ เด็กไทยเรียนประวัติศาสตร์แล้วคลั่งชาติ จริงหรือ บทเรียนประวัติศาสตร์ไทยสอนให้ผู้เรียนรังเกียจประเทศเพื่อนบ้าน จริงหรือ บทเรียนประวัติศาสตร์ไทยสอนให้คนไทยงมงายเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จริงหรือ
คำถามข้างต้น เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดในสังคมไทยมายาวนานประมาณ 2-3 ทศวรรษแล้ว โดยผู้ยกประเด็นนี้มาพูดบางรายก็มีเจตนาดี ต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยด้วยความตั้งใจจริง แต่บางรายพูดเรื่องนี้ด้วยเจตนาเสียดสี กระทบกระเทียบ และเย้ยหยัน และต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในประเด็น ประวัติศาสตร์สอนให้งมงายเรื่องกฤษดาภินิหารของพระมหากษัตริย์ไทย
จะอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงที่ว่า วิชาประวัติศาสตร์ คือการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของมนุษย์นที่เกิดขึ้นมาแล้วในยุคก่อนหน้านั้น ส่วนเรื่องราวที่บันทึกจะเที่ยงตรง แม่นยำ ถูกต้องหรือไม่ ก็ขึ้นกับข้อมูลที่ใช้ประกอบการศึกษาและอ้างอิง รวมถึงต้องดูเจตนาของผู้บันทึกเรื่องราวด้วยว่ามีเจตนาอย่างไร ต้องการบอกเล่าความจริงที่เห็นโดยปราศจากอคติ หรือบันทึกเรื่องราวด้วยอคติ
ส่วนผู้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ก็ต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า เรื่องราวที่กำลังเรียนนั้น เป็นอดีตที่เราเองไม่ได้เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง และต้องบอกตัวเองด้วยว่าเรื่องราวนั้นถูกบันทึกโดยคนคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะอยู่ในเหตุการณ์โดยตรงหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ให้ได้ความกระจ่างจึงจำเป็นต้องค้นคว้าจากหลากหลายแหล่งข้อมูล และไม่จำเป็นต้องปักใจเชื่อโดยทันที แต่ต้องใช้ดุลพินิจ และใช้สติปัญญาใคร่ครวญกลั่นกรองไตร่ตรองก่อนจะปักใจเชื่อ แล้วที่สำคัญคือต้องตั้งคำถามกับผู้สอนด้วยว่า สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยปัญญาหรือสอนโดยปราศจากปัญญาสอนโดยมีอคติ หรือสอนโดยไร้อคติ
R. G. Collingwood นักปรัชญาชาวอังกฤษ กล่าวว่า วิชาประวัติศาสตร์คือการค้นคว้าหาความรู้ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีที่มาจากคำว่าการสืบสวนหรือค้นคว้า (inquire) เพราะฉะนั้น หากเรายอมรับว่าประวัติศาสตร์คือการค้นคว้าหาความรู้ เราก็ต้องยอมรับว่าประวัติศาสตร์คือแขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ เนื่องจากวิทยาศาสตร์คือกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ โดยการตั้งโจทย์ปัญหาขึ้นแล้วค้นหาคำตอบ ประวัติศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นการศึกษาที่ต้องตั้งโจทย์ปัญหาขึ้นก่อนแล้วพยายามค้นคว้าหาเหตุผลและหลักฐานมาประกอบ เพื่อให้ได้ข้อยุติของโจทย์ปัญหาที่ถูกตั้งขึ้น
ส่วนเรื่องสำคัญของประเทศไทยเรื่องหนึ่งที่ถูกคนบางกลุ่มนำมาอ้างว่า การเรียนประวัติศาสตร์ของไทยในยุคนี้ (รวมถึงยุคที่ผ่านมาด้วย) ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสติปัญญา แต่เป็นการมอมเมาให้ผู้เรียนคลั่งชาติก็ต้องถามกลับว่า แล้วคนที่เรียนประวัติศาสตร์ไทยในยุค 30-50 ปีที่ผ่านมาเกิดอาการคลั่งชาติกันทุกคนหรือไม่
ส่วนข้ออ้างที่ว่าผู้เรียนในยุคปัจจุบันซึ่งถูกเรียกว่าเด็กยุคใหม่ ตาสว่างแล้ว มีความตื่นตัวทางการเมืองมากกว่าเด็กในอดีต ก็ต้องถามกลับว่า แล้วคนยุคเก่าในวันนี้ ไม่เคยเป็นคนยุคใหม่มาก่อนหรือ แล้วคนยุคใหม่เมื่อวันวานเป็นพวกตามืดบอด กระนั้นหรือ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เด็กยุคใหม่ที่ถูกเชิดชูว่าตาสว่างนั้น เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาโดยไม่มีรากเหง้าของคนรุ่นเก่าดูแลให้การอภิบาลมาก่อนหรือ หรือว่าเด็กรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมองโลก เพราะฉะนั้น การอ้างว่าเด็กตาสว่าง ก็น่าจะต้องมีรากเหง้ามาจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูของคนรุ่นเก่า ใช่หรือไม่ หรือจะตอบว่าเด็กบรรลุและตรัสรู้ได้เอง
บทความนี้ไม่ได้คัดค้านการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอน และเนื้อหาสาระในวิชาประวัติศาสตร์ แต่ไม่เห็นด้วยกับพวกที่พยายามใส่ความว่าวิชาประวัติศาสตร์ไทยสอนให้เด็กคลั่งชาติ แล้วอ้างว่าไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์
อันที่จริง ต้องตอบให้ชัดด้วยว่า การบอกว่าเด็กไทยจำนวนมากเบื่อหน่ายวิชาประวัติศาสตร์ จึงไม่สนใจเรียนวิชานี้ ก็ต้องถามกลับว่าแล้วมีวิชาใดที่เด็กไทยสนใจเรียนบ้าง เด็กไทยส่วนใหญ่สนใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ หรือ
อย่าปฏิเสธความจริงว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ทุกวันนี้นอกจากจะไม่มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแล้ว ยังไม่มีความรู้ในวิชาอื่นๆ ด้วย ดังจะพบว่าเด็กไทยจำนวนมากอ่อนด้อยด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ
ความจริงข้างต้นน่าจะเป็นบทสรุปได้ว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่สนใจเรื่องการเรียนวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ แม้กระทั่งภาษาศาสตร์ แต่เด็กไทยที่หลายคนบอกว่าตาสว่างแล้ว กลับสนใจในเรื่องที่หาประโยชน์มิได้
สิ่งที่เราต้องถามกันเองให้มากกว่าประเด็นประวัติศาสตร์สอนให้คนคลั่งชาติ ก็คือทำอย่างไรให้เด็กไทยส่วนใหญ่ตั้งอกตั้งใจแสวงหาความรู้เชิงวิชาการอย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่าที่เป็นอยู่ และทำอย่างไรจึงจะสอนให้เด็กไทยกล้าตั้งคำถามกับคนสอนหนังสือจำพวกมีเจตนาแอบแฝง ที่ตั้งใจมอมเมาให้เด็กไทยลุกขึ้นมาล้มล้างรากเหง้าและกำพืดของตัวเอง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะพัฒนาบทเรียนต่างๆ เราต้องพัฒนาคนสอนหนังสือก่อนเป็นอันดับแรก ต้องเลือกคนที่เป็นคนจริงๆ ไปสอนหนังสือไม่ใช่เลือกคนที่จงใจหลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือให้ทำหน้าที่สอนหนังสือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี