เมื่ออยากพาพ่อกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกคดีโกง จึงต้องมีอำนาจรัฐในมือให้ได้
วิธีการที่เคยใช้ได้ผล จึงนำกลับมาใช้ฟาดหัวคนไทยอีกครั้ง
นั่นคือ ขายฝัน ด้วยนโยบายลดแลกแจกแถม
จะทำได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญ เพราะเป้าหมายแท้จริง คือ ต้องได้อำนาจรัฐช่วยพ่อไม่ให้ติดคุก คนอื่นๆ ช่างแม่มมัน
คงจำได้ “คนตาบอด มันไม่กลัวเสือหรอกพี่เหนาะ”
เลวร้ายมาก คือ การเล่นกับค่าแรงขั้นต่ำ “ค่าแรง 600 บาท ป.ตรี 25,000 บาท”
ในความเป็นจริง มันควรจะกำหนดโดยกลไกตลาด หรือแทรกแซงโดยรัฐก็ควรผ่านกลไกไตรภาคี ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง รัฐ
หากผลิตภาพดี ค่าจ้างก็เพิ่ม ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันสูง
มิใช่เอาอำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงเพื่อแลกกับคะแนนนิยมนักการเมือง
หากต้องการช่วยเหลือ “รายได้” กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม ก็สามารถดำเนินการตรงไปตรงมา คือ จ่ายส่วนเติมให้มีรายได้ตามที่ประกัน คล้ายๆ ประกันรายได้เกษตรกรในยุครัฐบาลปัจจุบัน
แต่มิใช่ไปแทรกแซง “ค่าแรงขั้นต่ำ”
ทำให้ต้นทุนการผลิตในภาพรวมของประเทศก้าวกระโดด ทำลายความสามารถในการแข่งขัน สุดท้าย นายจ้างและนักลงทุนที่ใช้แรงงานเข้มข้นก็เปิดตูดหนี
ล่าสุด ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ได้ให้ข้อคิดความเห็นว่าด้วยเรื่อง “ค่าแรง 600 บาท ป.ตรี 25,000 บาท
ก็กอดคอกันลงเหวไปเลยสิครับ!!!”
บางตอน ระบุว่า
“มองอดีต :
1. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ค่าแรงไม่ได้เพิ่มอย่างต่อเนื่องในระดับที่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ ผมไม่ได้พูดถึงเงินเฟ้อในภาพรวมของประเทศ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยรายได้ใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องดูเงินเฟ้อปากท้องที่คำนวณโดยใช้ราคาของกินของใช้และบริการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ผมเคยคำนวณเอาไว้คร่าวๆ เงินเฟ้อปากท้องจะสูงกว่าเงินเฟ้อภาพรวมประมาณ 2-5 เท่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละช่วง
นั่นหมายความว่า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเพียงแค่ให้เท่ากับค่าครองชีพก็ยังไม่พอเลย นับประสาอะไรกับการเพิ่มที่น้อยกว่าค่าครองชีพ ดังนั้น ค่าแรงแท้จริงของคนกลุ่มนี้จึงไล่ไม่ทันค่าใช้จ่ายรายวัน พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งอยู่ไปอยู่ไปพวกเขาอย่างดีฐานะก็เท่าเดิม อย่างแย่ก็จนลงกว่าเดิม
2. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดเป็น 300 บาททำให้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ลองไปดูตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯและปริมณฑล แล้วใช้เงินเฟ้อปากท้องมาเป็นฐานในการเทียบ จะพบว่า ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปีเงินเฟ้อปากท้องก็ไล่ทันค่าแรงที่เพิ่มขึ้น คนที่เคยได้ประโยชน์จากค่าแรงก็กลับมาอยู่ ณ จุดเดิม เงิน 300 บาทที่ได้พาเขากลับไปสู่อดีตก่อนที่เขาจะได้ 300 บาทในเวลาที่รวดเร็วมาก
ในทางเศรษฐศาสตร์นี่คือการบีบให้กลไกตลาดให้รางวัลแค่แรงงานในทางอ้อมเรียกว่าเป็นโบนัสเชิงนโยบายก็ได้
3. ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทำให้ธุรกิจตัวเล็กตัวน้อย โดนหมัดฮุุกเข้าท้องน้อย ทำให้โตต่อได้ยาก เพราะต้นทุนค่าแรงคิดเป็นร้อยละ 50-70 ของต้นทุนทั้งหมด ส่วนธุรกิจใหญ่ที่ปกติจ่ายค่าแรงสูงกว่า 300 อยู่แล้ว ผลกระทบมีไม่มากนัก แม้ว่าผมจะไม่มีข้อมูล แต่ตามหลักแล้ว สถานการณ์เช่นนี้มักนำไปสู่ปัญหาทักษะไหล เพราะคนเก่งจะถูกบริษัทใหญ่ดึงตัวไปมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจตัวเล็กตัวน้อยต้องปล่อยคน หรือไม่ก็ปิดตัวลง
4. บทเรียนจากการทบทวนวรรณกรรมเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดทั่วโลกได้ผลตรงกันว่า ดีกับพรรคการเมือง แต่ไม่ดีกับประชาชน
องค์การแรงงานระหว่างประเทศจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติ (Guidelines) ลองดูในบทที่ 5 ของเอกสารนี้นะครับ ( https://www.ilo.org/.../docs/WCMS_508566/lang--en/index.htm ) ลองอ่านแล้วจะเห็นว่า การขึ้นค่าแรง 300 บาท (600 บาท เพิกเฉยต่อแนวปฏิบัติไปกี่ข้อ)
5. การขึ้นค่าแรง 300 ที่อ้างว่าเราประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ดูได้จากการที่อัตราการว่างานของเราต่ำมากอยู่ที่ไม่เกิน 2% ที่ต้องบอกคือ ประเทศอื่น ขนาดตอนเศรษฐกิจเขาดีๆ อัตราการว่างงานเขายังอยู่แถว 3% แล้วทำไมไทยถึงต่ำขนาดนี้ คำตอบคือ เป็นเพราะนิยามของการมีงานทำที่ระบุว่าแค่ทำงาน 1 ชม ต่อสัปดาห์ก็มีงานทำแล้วยังไงล่ะครับ แต่ถ้าเป็นแถวบ้าน อาทิตย์นึงทำงาน 1 ชั่วโมงแล้วเวลาที่เหลือนอนดูซีรี่ส์นี่ แถวบ้านเรียกตกงานนะครับ ดังนั้นข้ออ้างเรื่องตลาดแรงงานตึงตัวจึงเป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล
6. แม้ว่าค่าแรงจะขึ้นเป็น 300 แต่อัตราการว่างงานของเราไม่กระโดดขึ้นมาเหมือนที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ นั่นเป็นเพราะปี 2555-2556 หรือเมื่อ 10 ปี ก่อนต้นทุนการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานยัง “แพง” และ “แทนได้ไม่ดี” ธุรกิจจึงต้องกัดฟันทนกันไป
ภาพอนาคต : มีอะไรบ้างที่อาจจะเกิดขึ้น
1. ค่าแรงกระโดดเป็น 600 เท่ากันทั่วประเทศ จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำย้อนกลับ การขึ้นค่าแรง 600 บาทเท่ากันทุกจังหวัด ทำลายโอกาสได้งานในจังหวัดที่ไม่ใช่แม่เหล็กทางเศรษฐกิจ คนจะเดินทางมาหาโอกาสทำงานในจังหวัดที่เจริญแล้ว เพราะน่าจะมีความสามารถในการจ่ายได้มากกว่า เมื่อแรงงานออกจากจังหวัด ความเจริญก็ไหลออกตามมาด้วย กำลังซื้อในจังหวัดจะลดลง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างจังหวัดมากขึ้น
2. บริบทการฟื้นตัวแบบ K-Shape เราเห็นแล้วว่า การระบาดของโควิดที่มาพร้อม Disruption ระยะที่ 2 ที่หมายถึงระยะที่ต้นทุนการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีแทนแรงงานมีต้นทุนต่อ ทำได้ง่าย และเปลี่ยนแล้วคุ้มค่า หมายความว่า ธุรกิจไม่จำเป็นต้องง้อแรงงาน ยิ่งค่าแรงขึ้นแรง การเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีแทนยิ่งคุ้ม ดังนั้น จะเอาข้อมูลในอดีตว่าไม่เกิดผลกระทบต่อการจ้างงานมาใช้กับบริบทหลังโควิดจึงไม่เหมาะสม
3. เราพูดถึงที่ค่าแรงขั้นต่ำ 600 จะทำให้เวียดนามยิ้มร่า ผมขอบอกเลยว่า ไม่ใช่แค่เวียดนามที่ยิ้มร่า อาเซียน and beyond ยิ้มกันหมดครับ ย้ายฐานการผลิตเกิดขึ้นแน่
แต่ๆๆๆๆ ที่ผมห่วงไม่ใช่แค่เงินไหลออกครับ ลักษณะของเงินทุนใหม่ที่ไหลเข้ามา เขาไม่ได้ต้องการแรงงานระดับที่ใช้ชีวิตอยู่กับค่าแรงขั้นต่ำ เขาต้องการแรงงานทักษะสูง นั่นหมายความว่าต่อให้ FDI เข้ามาจนประเทศไทยสำลัก ก็ไม่ได้การันตีว่า คนที่ตกงานจากการย้ายฐานการผลิตจะได้งาน
4. ค่าแรง 600 เราจะได้เห็นผีน้อยหลายชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย คนไทยที่ตกงานก็ต้องต่อสู้แย่งชิงงานกับเขา จำนวนแรงงานนอกระบบจะเพิ่มขึ้น อันนี้น่ากลัว เพราะถ้าคนรายได้น้อยหลุดออกจากระบบ Safety Net ทั้งหลายก็จะหายไปด้วย 600 ไม่ได้ ครอบครัวลำบาก ชีวิตไม่มั่นคง...ธุรกิจมีกำไรลดลง...ฐานภาษีของรัฐก็หายไปด้วย...
5. ค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจ กระทบการท่องเที่ยว กระทบกับคนมีรายได้ประจำ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่าผลจะหนักหนาแค่ไหน เพราะยังไม่ได้ใส่ปัจจัยเรื่องสภาพอากาศและปัญหาเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ แต่ถ้าถามลางสังหรณ์ ผมใจหวิวๆ ครับ
6. ค่าครองชีพจะนำไปสู่การใช้นโยบายประชานิยมอีกรอบหรือเปล่า ถ้าฉายหนังซ้ำแบบนี้อีก ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำสูง แต่น้ำตานองแผ่นดิน คุ้มหรือไม่คุ้มลองคิดดูนะครับ...”
ฟัง คิด พิจารณา
จะเข้าใจได้ทันทีว่า สันดานนักการเมืองสามานย์ เหมือนคนเล่นเสียการพนัน แล้วอยากได้คืน ตอนนี้พยายาม “เอาเงินคนอื่นมาวางเดิมพัน”
นี่ก็ไม่ต่างกับ “เอาเงินคนอื่นมาซื้อเสียง”
ขึ้นอยู่กับประชาชนจะรู้เท่าทันนักการเมืองพรรค์อย่างนี้แค่ไหน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี