นับถอยหลังอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็จะสิ้นสุดปี 2565 แต่ยังไร้แววยุบสภาก่อนหมดวาระแต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะหยุดเพื่อรอเวลา?
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ปรากฏกระแสสะพัด ถึงกรณีที่พรรคการเมืองเจ้าเสน่ห์อย่างพรรคภูมิใจไทยเตรียมตัวที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของสมาชิกใหม่ ซึ่งกระแสข่าวลือดังกล่าวก็ทิ้งช่วงไว้แค่เพียงไม่กี่วันก่อนที่จะเปลี่ยนจากกระแสข่าวเป็นความจริง ซึ่งปรากฏการณ์ย้ายค่ายดังกล่าว ก็คงเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่ยืนยันถึงเรื่องของคุณภาพและความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ไม่น้อย แต่จะสิ้นสุดจำนวนเพียงเท่านี้หรือ?
อย่างไรก็ตามการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครั้งใหญ่จากสังกัดพรรคภูมิใจไทย ก็อาจมองได้ว่านอกจากจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจและประเมินขุมกำลังในมือแล้ว การที่พรรคภูมิใจไทยเลือกที่จะให้บรรดา สส. ประกาศลาต้นสังกัดเก่า และเลือกที่จะเปิดตัวในช่วงก่อนสิ้นปี ก็อาจเป็นหนึ่งในการวางหมากก้าวต่อไปหรือไม่ เพราะตามข่าวของรายบุคคลน่าจะมีบางรายชื่อที่หายไป?
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายภราดร ปริศนานันทกุล โฆษกพรรคภูมิใจไทย ก็ได้มีการกล่าวขอบคุณ สส. ที่เพิ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย พร้อมทั้งเผยว่ายังมี สส. อีกจำนวนหนึ่ง ที่มีความประสงค์จะย้ายสังกัดมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย แต่ด้วยภารกิจที่ยังไม่ลุล่วงจึงยังไม่สามารถเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทยได้ในเวลานี้
ซึ่งแม้จะยังไม่อาจทราบได้ว่าว่าที่สมาชิกบ้านภูมิใจไทยในอนาคตจะมีชื่อของ สส. ท่านใดถูกจับไปเชื่อมโยงบ้าง แต่ที่แน่ๆ การเปิดตัวครั้งใหญ่ในครั้งที่ผ่านมา ก็อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของ สส. บางคนที่ยังลังเล หรือบางคนมีตั๋วสองใบ หรือสามใบด้วยซ้ำ การชิงเปิดตัวก่อนโดยที่ยังมาไม่ครบ นอกจากจะเป็นการล็อกตัวแล้วอาจจะยังเป็นการดึงกระแสคนที่ยังลังเลให้รีบตัดสินใจก่อนที่ประตูจะปิด
ซึ่งแม้จะมี สส. จำนวนไม่น้อยที่อยากย้ายสังกัดไปเข้าพรรคภูมิใจไทย
แต่ในความจริงก็ใช่ว่าจะเป็นต่อในทุกด้านและกุมความได้เปรียบในทุกๆ เรื่องหรือไม่?
หากลองมองย้อนกลับไปถึงในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ผ่านมา มีการใช้เลือกตั้งโดยใช้รูปแบบของบัตรเลือกตั้ง
ใบเดียว ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเข้าทางพรรคภูมิใจไทยมากกว่าแต่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดจะเกิดขึ้นครั้งหน้ามีรูปแบบที่แตกต่างออกไป ทั้งรูปแบบการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พร้อมด้วยสูตรการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์หารร้อย
จากกติกาที่สูตรการคำนวณบัญชีรายชื่อที่ไม่เข้าทางนักจึงเปรียบเสมือนเป็นการบังคับกลายๆ ให้พรรคภูมิใจไทย ต้องทำผลงานให้ดีที่สุดในการเลือกตั้งแบบเขต และการที่พรรคภูมิใจไทยได้ สส. เขต เข้าพรรคจากหลายสังกัด ทั่วฟ้าเมืองไทย ก็อาจเป็นหนึ่งในนิมิตหมายที่ดี แต่ก็ต้องมาลุ้นกันว่าการตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทยในครั้งนี้จะทำให้พรรคภูมิใจไทยผงาดกลายเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ได้เก้าอี้เกิน 100 ที่นั่ง ดังที่ตั้งใจไว้หรือไม่?
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับพรรคภูมิใจไทยคือแม้พรรคภูมิใจไทยจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดี จึงไม่แปลกที่จะได้ สส. เขตที่มีความสามารถและประสบการณ์ เข้ามาเป็นกำลังเสริมในจำนวนที่ไม่น้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สส.ที่ย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ส่วนหนึ่งเป็น สส. ที่อาจไม่ได้แข็งแกร่งด้วยตัวเองหรือไม่?
อย่างอดีต สส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ทุกวันนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า ที่บางส่วนสามารถคว้าเก้าอี้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ได้ ในจำนวนที่ไม่น้อยจนสามารถเป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะพรรคพลังประชารัฐได้เสนอพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่? อีกทั้ง สส. จากสังกัดพรรคเพื่อไทย ที่ก็อาจต้องพิสูจน์ตัวเองในการเลือกตั้งครั้งถัดไปว่า ที่สามารถเป็นผู้แทนได้เพราะประชาชนเลือกด้วยชื่อเสียงของพรรคหรือเลือกตัวบุคคลกันแน่? ซึ่งก็ไม่ต่างจากอดีตสมาชิกพรรคสีส้ม ที่ดูแล้วประชาชนที่เลือกครั้งที่แล้วอาจมองที่อุดมการณ์อาจมาก่อนตัวผู้สมัคร?
นี่จึงเป็นจุดที่พรรคภูมิใจไทยอาจต้องเฝ้าระวัง เพราะแม้ว่าจะได้ สส. จากสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ มาเป็นแต้มต่อ
แต่เอาเข้าจริงเชื่อว่าพรรคเข้าใจสถานการณ์นี้อยู่แล้วและลักษณะนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แค่ไม่มีครั้งไหนมากเท่านี้ ที่อาจเป็นจุดระเบิดให้พรรคเกิน 100 ในครั้งนี้ก็ได้
ต่างกับ สส. ที่ยังสังกัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแม้จะมี สส. ที่ตบเท้าก้าวขาออกจากพรรคในจำนวนที่ไม่น้อย แต่ก็ดูจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่นัก เพราะหากส่องดูจริงๆก็ยังมี สส. ส่วนหนึ่งที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีฐานคะแนนเสียงที่แน่นอนที่ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐอยู่ในจำนวนที่ไม่น้อย เท่ากับว่าพรรคพลังประชารัฐแม้จะสูญเสียเลือดไปมาก แต่ สส. คุณภาพก็ยังอยู่และเป็นกำลังหลักให้กับพรรค แม้ไม่อาจทราบได้ว่า สส. เหล่านั้นจะยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐไปจนถึงวันลั่นระฆังศึกหรือไม่?
ไม่เพียงแต่ สส. ที่ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐอยู่เท่านั้น เพราะในช่วงหลังมานี้มีการพูดถึงการคัมแบ๊กสู่บ้านหลังเดิมของร้อยเอกธรรมนัส อดีตขุนพลคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกกระแสดังกล่าวก็ดูจะยังไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากนัก จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา พลเอกประวิตรได้มีการมอบหมายให้ร้อยเอกธรรมนัส เป็นประธานในการเปิดประชุมสามัญประจำปี สภาเครือข่ายประชาชนอีสานที่จังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งเท่ากับว่าการมาเยือนถิ่นย่าโมของร้อยเอกธรรมนัสในครั้งนี้ เป็นการพบปะประชาชนในฐานะตัวแทนของพลเอกประวิตร หรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกที่คนจะมองว่าน่าจะมีสัญญาณบางอย่าง นอกจากนี้ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วันนายไพบูลย์ นิติตะวัน สส. รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็ได้มีการเปิดเผยว่า จะมี สส. จากสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ย้ายเข้ามาร่วมงานพรรคพลังประชารัฐในเร็วๆ นี้ ซึ่งการเปิดเผยของนายไพบูลย์นั้น เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ร้อยเอกธรรมนัสจะออกปฏิบัติหน้าที่แทนพลเอกประวิตรเพียงแค่ไม่กี่วัน
และหากกระแสดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็เท่ากับว่าในตอนนี้เองพรรคพลังประชารัฐจะมีหลายปัจจัยก็ดูจะไม่เอื้ออำนวยต่อพลเอกประยุทธ์สักเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นการดึงนายมิ่งขวัญเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรค ซึ่งเมื่อ
นายมิ่งขวัญให้เหตุผลการเข้ามาว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคแล้ว คงเป็นการยากที่ทั้งสองจะร่วมงานกัน ประกอบกับกระแสเรื่องร้อยเอกธรรมนัสด้วยหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตามพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรจะไม่จับมือกันเพื่อเป็นขั้วการเมืองในรัฐบาลสมัยหน้าก็ยังคงเป็นแค่ข้อสงสัยเพียงเท่านั้น?
เพราะหากร้อยเอกธรรมนัสได้กลับเข้าสู่บ้านพลังประชารัฐ ก็เท่ากับว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้กำลังเสริมที่แข็งแกร่ง เพราะนอกจากการกลับมาของร้อยเอกธรรมนัสอาจนำพาบรรดา สส. จากพรรคเศรษฐกิจไทยกลับเข้าบ้านพลังประชารัฐแล้ว ประเด็นสำคัญคือมีการคาดการณ์กันว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่จะทำให้พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทยจับมือกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นได้หรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้น ก็น่าสนใจว่าระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคเพื่อไทย พลเอกประวิตรจะไปยืนอยู่ตรงจุดใดของสมการกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยรอบด้าน ก็ดูเหมือนจะเป็นการบีบให้พลเอกประยุทธ์ต้องเต็มที่กับพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อให้ได้แต้มมากที่สุด
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทางมติคณะรัฐมนตรีก็ได้มีการเห็นชอบต่อกรณีการแต่งตั้งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันกำลังกุมบังเหียนพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นพรรคที่ถูกมองว่าจะเป็นสถานีต่อไปของพลเอกประยุทธ์อีกด้วย แม้พลเอกประยุทธ์จะยังไม่ได้เปรยถึงความชัดเจนบนเส้นทางการเมืองในอนาคต แต่การขึ้นมาดำรงตำแหน่งของนายพีระพันธุ์ในครั้งนี้ก็เริ่มที่จะไขข้อสงสัยให้กระจ่างแล้วหรือไม่?
หากพลเอกประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐถึงคราวแยกทางกันอย่างเป็นทางการ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็อาจเป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์สำคัญก็เป็นได้ว่า ที่พรรคพลังประชารัฐสามารถเป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาลได้ในครั้งที่ผ่านมาจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพรรคอย่างแท้จริง หรือเป็นเพราะการเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตกันแน่?
อย่างไรก็ตามภายใต้ความกดดันในเรื่องของเวลาที่งวดเข้ามาในทุกขณะ ทุกฝ่ายย่อมต้องการหาความได้เปรียบให้ตนเองมากที่สุด ทั้งมีเปิดอ้อมอกรับสมาชิกนอกพรรคเข้ามาสู่สังกัด แต่สิ่งที่น่าสนใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในครั้งใด ก็มักจะมีขั้วทางเลือกใหม่โผล่เข้ามาร่วมวงด้วยอย่างสม่ำเสมอ
แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้เวลาจะล่วงเลยมานานเท่าใด ก็ยังไม่มีวี่แววของหน้าใหม่เหล่านั้นปรากฏขึ้นบนเวทีการเมืองไทย ก็น่าสนใจว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่ จะเป็นเพราะขั้วการเมืองทางเลือกในปัจจุบันถึงจุดอิ่มตัว หรือเพราะคนรุ่นใหม่หมดศรัทธากับการเมืองไทยกันแน่?
ศักราชแม้จะใกล้ถึงคราวนับถอยหลัง แต่ระฆังศึกยังไม่เริ่ม
“หากท่านเป็นบุรุษ ควรเข้าใจเรื่องประการหนึ่งจึงประเสริฐ
หากมีบุรุษอื่นมายกย่องชมเชยท่านต่อหน้า
หากมิใช่เคารพนับถือท่านจนศิโรราบจริงใจ
ก็ต้องเป็นเห็นท่านต่ำทรามจนไร้ค่า และมักยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงด้วย
แต่หากมันชมท่านลับหลัง นั้นก็เป็นการชมโดยจริงใจ”
โกวเล้ง จาก ผู้ยิ่งใหญ่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี