เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเป็นวันขีดเส้นตายสำหรับการย้ายสังกัดของบรรดา สส. ในกรณีที่รัฐบาลจะอยู่ครบวาระ แต่ในวันนั้นกลับไม่มีการพูดถึงการโยกย้ายสังกัดใดๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการย้ายสังกัดพรรคนั้นได้เสร็จสิ้นลงไปแล้วเมื่อสองเดือนก่อน? และมีแค่นั้นหรือ? หรือที่หลายคนมั่นใจว่าพลเอกประยุทธ์จะอยู่ไม่ครบวาระเพราะข่าวยุบสภาฯ นั้นแรงและชัดเจนยิ่งกว่า? ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การย้ายรอบสุดท้ายที่อาจเป็นรอบใหญ่ที่สุดจะเกิดขึ้นหลังยุบสภา ซึ่งหลังจากนี้อีกเดือนกว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นวันไหนก็ได้
เช่นเดียวกับการพิจารณาเรื่องต่างๆ ในสภาฯ ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่ายากที่จะมีอะไรสามารถผ่านมติสภาตอนนี้ได้อีกจนถึงวันที่หมดวาระหรือยุบสภาฯ อย่างกรณีเมื่อวานนี้มีวาระการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหามีผลโดยตรงถึงอำนาจของ สว. ซึ่งสุดท้ายการประชุมสภาฯ ปิดไปก่อนเพราะปัญหาองค์ประชุม ซึ่งก็น่าจับตาการอภิปรายในสัปดาห์หน้าเช่นกัน?
เอาเข้าจริงการเตรียมตัวของพรรคการเมืองแต่ละพรรคนั้น ดูจะเอาใจใส่กับการเตรียมการหลังบ้านมากกว่า เมื่อยังไม่ถึงวันสุดท้ายของการย้ายจริงๆ ดีลต่างๆ จึงไม่มีทางจบ รวมถึงไปแล้วกลับก็อาจเกิดขึ้นด้วย
รวมถึงกรณีบ้านเก่า บ้านใหม่ บ้านพี่ บ้านน้อง อย่างพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ดูเหมือนมีคนบอกว่ารวมไทยจะมีแต่กำไร มีแต่คนตบเท้าย้ายจากบ้านเก่ามาบ้านใหม่ แต่ในความเป็นจริง ด้วยความที่ยังไม่ถึงวันสุดท้ายจริงๆ อะไรที่เคยคุยไว้ก็อาจเปลี่ยนใจ บ้านน้องอาจน่าสนใจแต่บ้านพี่ใจถึงดูแลดี ก็เริ่มมีข่าวไหลกลับบ้าน
พี่หลายคน?
อีกหนึ่งคู่แข่งทางการเมืองคู่สำคัญในอดีตที่แม้จะดูเหมือนสถานการณ์แข่งขันในกระดานจะเปลี่ยนไป อย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่มาวันนี้อาจไม่ใช่พรรคที่เผชิญหน้ากันตรงๆ ในสนามการเลือกตั้ง และทั้งสองพรรคยังถือเป็นพรรคการเมืองเก่าที่กำลังต้องฝ่ากระแสการเมืองใหม่ ที่ตอนนี้มีพรรคการเมืองขยายตัวเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก ตลอดจนโครงสร้างภายในที่ยาวนานก็ทำให้ยากที่ขับเคลื่อนในยุคสมัยปัจจุบัน
อย่างในรายของพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่เคยทำผลงานได้ดีต่อเนื่องตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2551 มาจนถึง 2554 แต่ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 กลับทำผลงานออกมาได้อย่างน่าใจหาย และตลอดระยะเวลาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 จนถึงในยามนี้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภายในอยู่ไม่น้อย ทั้งการเปลี่ยนผ่านของขุนพลระดับผู้บริหารพรรค
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น คือการที่ขุนพลหลายท่านที่ได้ตบเท้าออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปนั้น อาจต้องฟาดฟันกันในสมรภูมิในรูปแบบของคู่แข่งต่างสังกัด ทั้งที่ออกไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นรวมถึงจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ที่ก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามอุดมการณ์แต่อย่างใด แต่ยิ่งเหมือนเป็นการลดทอนคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ให้การต่อสู้ยากลำบากขึ้นไปอีกหรือไม่?
อีกทั้งคู่แข่งที่ถูกมองว่ามีฐานคะแนนเสียงเดียวกันในตอนนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่พรรคพลังประชารัฐเพียงเท่านั้น เพราะพรรคการเมืองที่ถือกำเนิดใหม่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อแบ่งแย่งฐานคะแนนเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่เดิมประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน และว่ากันตามตรงก็ยากที่จะปฏิเสธว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็เสียลูกทีมให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติในจำนวนที่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติของนายพีระพันธุ์อดีตขุนพลของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงการปรากฏตัวของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งก็คาดว่าหลังวันประกาศยุบสภาก็อาจมีตามออกมาอีกหรือไม่?
ฐานที่มั่นคนเมือง
ในสนามประลองเวทีคนเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเวทีของฝ่ายค้านมาตลอด หมายความว่า ทั้งสส.และผู้ว่าฯ กทม. โดยมากผลการเลือกตั้งจะพุ่งเทคะแนนไปที่ฝ่ายค้านในขณะนั้น โดยเฉพาะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.
ที่น้อยมากที่ผู้ว่าฯกทม.จะมาจากพรรคที่เป็นรัฐบาลในขณะนั้นเลือกตั้งสส.ก็ไปทำนองเดียวกัน เว้นเพียงการเลือกตั้งสส.เมื่อครั้ง นายกฯทักษิณ และนายกฯอภิสิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามเวทีสส.กทม.นับได้ว่าเป็นเวที ที่เปลี่ยนตัวสส.และพรรคที่ครอบครองมากที่สดุ นั่นคือยากที่จะมีสส.หรือพรรคใดผูกขาดพื้นที่กทม.ไม่ว่าเขตใดก็ตาม
ซึ่งในช่วง 20 กว่าปี ที่ผ่านมา พรรคที่ขับเคี่ยวในพื้นที่กทม.มาตลอดคือพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย แต่มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี’62 ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่เปลี่ยนไปของคนเมือง ที่มีแนวโน้มเลือกพรรคที่หลากหลายมากขึ้น และรวมถึงครั้งนี้ที่มีพรรคการเมืองประสงค์และตั้งเป้าจริงจังที่จะลงมาแข่งในพื้นที่กทม.มากขึ้น และน่าจับตาว่าอาจเห็นสส.กทม.รอบนี้อาจมาจาก 4-5 พรรคขึ้นไปหรือไม่
ครั้งที่แล้ว ประชาธิปัตย์ถูกมองว่าสูญเสียที่นั่งทั้งหมดให้กับพลังประชารัฐ รวมถึงบางส่วนไปที่อนาคตใหม่ ใน
ขณะที่เพื่อไทยประคองฐานเสียงเดิมได้เป็นส่วนใหญ่และสูญเสียบางส่วนให้กับอนาคตใหม่ แต่อย่าลืมว่าครั้งที่แล้วมีประเด็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ครั้งนี้เพื่อไทยก็มีแนวทางในการจัดการใหม่ไว้แล้ว
นอกจากนี้แม้จะถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่อยู่คนละฟากฝั่ง จึงน่าจะมีฐานคะแนนเสียงที่เป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย แต่ในความจริงแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฐานเสียงของทั้งก้าวไกลและพรรคประชาธิปัตย์ ก็อาจมีส่วนที่คาบเกี่ยวกันอยู่ โดยเฉพาะฐานคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางซึ่งแต่เดิมอาจถูกมองว่าเป็นฐานของประชาธิปัตย์ คะแนนส่วนนี้ในรอบนี้อาจนำไปสู่พรรคการเมืองใหม่อื่นๆ ที่พึ่งจัดตั้งขึ้นอย่างพรรคชาติพัฒนากล้า รวมถึงไทยสร้างไทย ที่มุ่งเป้าฐานชนชั้นกลางเช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบการลาออกของสส.เขตของก้าวไกลหลายคนในพื้นที่กทม. ทำให้ฐานที่มั่นเดิมของก้าวไกลอาจ
ไม่มั่นคงอย่างที่คิดหรือไม่?
แม้พรรคก้าวไกลก็ถือว่าเป็นพรรคที่ประสบการณ์ทางการเมือง ยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักรวมถึงมีจุดเด่นเอกลักษณ์เป็นที่จดจำ ย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 พรรคอนาคตใหม่มีแบรนด์และความหวังของพรรคอย่างธนาธร ปิยบุตร และพรรณิการ์ เป็นดั่งสามทหารเสือ และถูกมองว่าเป็นแม่เหล็กดูดคะแนน แต่ในรอบนี้พรรคก้าวไกลแบรนด์ของพรรคอย่างนายพิธา แม่ทัพคนใหม่และนายพริษฐ์ แต่ก็ยังถูกนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นผู้นำและความโดดเด่นในยุคสมัยที่นายธนาธร เป็นผู้นำของพรรคหรือไม่?
ว่ากันตามตรงเงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลจะสามารถจะเป็นรัฐบาลในสมัยหน้าได้ก็ดูจะไม่มากนักและดูจะมีทางเดียวคือต้องจับมือกับเพื่อไทยเท่านั้นหรือไม่? เพราะจากการประกาศอุดมการทางการเมืองในสมัยหน้าว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้วที่เกี่ยวข้องกับพี่น้อง 2 ป. ซึ่งตรงกันข้ามกับเพื่อไทยที่ยังมีความยืดหยุ่นกว่าในเรื่องนี้ ซึ่งก็น่าสนใจว่าหากพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกลเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในครั้งหน้า แต่หากมีปัจจัยพรรคพลังประชารัฐจำเป็นต้องเข้าร่วมวงด้วย พรรคก้าวไกลจะมีท่าทีอย่างไรกับสมการในรูปแบบนี้? ซึ่งหากว่าพรรคก้าวไกลเข้าร่วมวง ก็น่าสนใจว่าจะส่งผลต่อภาพลักษณ์เรื่องอุดมการณ์ซึ่งเป็นจุดแข็งของพรรคก้าวไกลในอนาคตหรือไม่?
ซึ่งในประเด็นนี้อาจส่งผลบวกต่อฐานเสียงเฉพาะกลุ่มโดยเฉพาะพื้นที่กทม. แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปัจจัยในการตัดสินใจการเลือกของประชาชนที่มีความหลากหลายกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดสามปีที่คณะก้าวหน้าเดินเกมในการแข่งขันการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก จึงเป็นเหตุให้ก้าวไกลต้องหันกลับมาเจาะฐานที่มั่นกลุ่มคนเมืองแบบทุ่มสุดตัว
ในตอนนี้แลนด์สไลด์ของเพื่อไทยก็ยังเป็นจุดมุ่งหมายและภารกิจสูงสุดของพรรค เพราะหากได้คะแนนเสียงในจำนวนมาก ก็ย่อมง่ายต่อการคุมเกมหลังเลือกตั้ง และแม้พรรคเพื่อไทยก็น่าจะรู้ดีว่าการจะให้แลนด์สไลด์นั้นเป็นเรื่องยากแต่การเป็นผู้ชนะแบบเด็ดขาดมากที่สุดแบบพรรคเดียวจะเพิ่มความชอบธรรมในการดำเนินการใดๆ หลังเลือกตั้ง ทุกคะแนนของก้าวไกลในเวทีเมืองจึงอาจเป็นการเพิ่มอุปสรรคสำคัญกับการแลนด์สไลด์แม้จะบอกว่าจะมาร่วมกันภายหลังได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม อีกสองพรรคคู่แข่งสำคัญในเวทีคนเมืองอย่าง พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และยังจัดทัพผู้สมัครกทม.ยังไม่ลงตัว ด้วยสถานการณ์แบบนี้จึงยากที่ทิศทางคะแนนเสียงจะพุ่งไปทางใดทางหนึ่ง
ฐานที่มั่นต่างจังหวัด
ด้วยสถานการณ์โดยรวมตลาดสส..นั้นดูเหมือนยังไม่นิ่ง ส่วนที่ย้ายไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะย้ายใหม่หรือย้ายกลับ เพราะผู้สมัครและอดีตสส.ทุกคน สิ่งคาดหวังสำคัญสูงสุดคือการได้กลับมาเป็นสส.อีกครั้ง ที่นอกจากกระแสพรรคและโอกาสที่จะได้เป็นพรรครัฐบาลในอนาคตแล้วความใจถึงของหัวหน้าพรรคก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บรรดาสส.ทั้งหลายเลือกย้ายบ้าน? โดยเฉพาะกับบ้านใหญ่ทั้งหลายที่มีศักยภาพส่วนหนึ่งด้วยตนเองย่อมมีโอกาสตัดสินใจเลือกบ้านอยู่ให้สบายใจได้มากกว่า
จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวว่า พรรคเพื่อไทย อาจเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.อีกระลอกทั่วประเทศ แต่หนึ่งในสิ่งที่น่าจับตามองคือ กลุ่มบ้านใหญ่ ซุ้มต่างๆ ที่น่าจะได้เปิดตัวกับพรรคเพื่อไทยในไม่ช้านี้ด้วยหรือไม่? ซึ่งหนึ่งในนั้น คือบ้านใหญ่เมืองชล ของนายสนธยา คุณปลื้ม อดีตหัวหน้าพรรคพลังชล และเมื่อขึ้นชื่อว่าบ้านใหญ่ ก็น่าสนใจว่า เมื่อนายสนธยาประกาศเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ จะมีบ้านอื่นตามมาจากบ้านหลังเดิมด้วยหรือไม่?
ยังไม่นับรวมกลุ่มสามมิตรที่แม้ล่าสุดจะมีการเผยท่าทีว่า จะมีเพียงแค่นายอนุชาเท่านั้น ที่ย้ายสังกัดไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนนายสมศักดิ์และนายสุริยะ ยังไงเสียก็จะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อ แต่กระแสย้ายไปพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ได้จางหาย อีกทั้งข่าวแว่วมาว่านายสมศักดิ์อาจส่งคนใกล้ตัวไปพรรคเพื่อไทยก็มีมา ทั้งน้องสาวอย่างพรรณสิริ กุลนาถ ที่อาจลงสมัคร สส. สุโขทัยเขต 1 ในนามพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
และเมื่อกลุ่มสามมิตรถูกจับไปเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรค ก็อาจถูกมองว่าเป็นการวางหมากแบบกระจายตัวเล่นหรือไม่? หรือความสัมพันธ์ภายในขั้วนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว? แต่ไม่ว่าอย่างไรหากในท้ายที่สุดกลุ่มสามมิตรได้มีส่วนที่ได้ย้ายสังกัดไปยังพรรคเพื่อไทยจริงๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคเพื่อไทยไม่น้อย เพราะก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มสามมิตรก็เป็นอีกหนึ่ง สส. ที่แข็งแรงที่มักจะปักธงแบบไม่พลาดเป้า
อย่างไรก็ตาม ในกระแสการเมืองใหม่ยุคนี้ บ้านใหญ่หลายบ้านก็อาจถูกล้มแชมป์ไปได้ง่ายๆ เช่นกัน หากองค์ประกอบอื่นอย่างกระแสพรรค และหัวหน้าพรรคไม่เข้าตาและอย่าลืมว่าตลอดสามปีที่ผ่านมาในช่วงการแข่งขันในเวทีท้องถิ่น พี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อมได้นำทีมส่งผู้สมัครในนามพรรคพลังประชารัฐเก็บแต้มฐานที่มั่นในต่างจังหวัดทั้งอบจ. เทศบาลและอบต. ตุนไว้ในกระเป๋าอย่างมาก มาวันนี้ก็จะได้รู้ว่าฐานที่วางไว้จะออกดอกออกผลอย่างไร?
“ชีวิตของทั้งสองคล้ายดั่งดำรงอยู่ในความมืดมิดมาตลอดกาลนาน
แต่ทั้งสองยังมีความสุขยิ่งกว่าคนอื่นอีกมากหลาย
เนื่องจากเพราะชีวิตของทั้งสองมีรักแท้ รักแท้ไม่มีเรื่องราวใดแทนได้ตลอดกาล”
โกวเล้ง จาก เดชขนนกยูง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี