“ที่อยู่อาศัย” หนึ่งในปัจจัย 4 จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ส่วน “ที่ดิน” ก็เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการทำมาหากินเลี้ยงชีพ ซึ่งสำหรับประเทศไทย“ข้อพิพาทในที่ดิน” ระหว่างประชาชนกับรัฐหรือประชาชนระดับฐานรากกับภาคทุนธุรกิจ เป็นปัญหาตลอดมาเห็นได้จากหน้าสื่ออยู่เนืองๆ ว่าประชาชนหลายพื้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้โดยยืนยันว่าอยู่ในที่ดินนั้นมาก่อนที่รัฐจะออกเอกสารรับรองความเป็นพื้นที่ป่า อุทยานแห่งชาติ พื้นที่สาธารณประโยชน์ ตลอดจนออกโฉนดเป็นพื้นที่ของหน่วยงานรัฐหรือเอกชน
เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. 2566 สมัชชาคนจน องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชนคนฐานรากโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ได้ชวน พรชัย ทองตาม สมาชิกสมัชชาคนจนกรณีปัญหาที่สาธารณประโยชน์บะหนองหล่ม ต.ท่าสะอาด อ.เซกา จ.บึงกาฬ มาพูดคุยในรายการ “ห้องสื่อคนจน” ในหัวข้อ “ความมั่นคงในที่ดิน คือความมั่นคงของชีวิต” บอกเล่าปัญหาและการต่อสู้ของคนในพื้นที่
พรชัย กล่าวว่า ปัญหาที่สาธารณประโยชน์บะหนองหล่มเกิดจากการออกหนังสือสำคัญที่หลวงไม่ตรงกับหลักฐานของทางราชการ จึงไปทับซ้อนกับพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยของประชาชน ทำให้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพราะไม่ยอมถูกขับไล่ด้วยข้อหาบุกรุก มีการฟ้องร้องซึ่งปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล และชาวบ้านบางคนก็แพ้คดีถูกบังคับให้ย้ายออกไป นำไปสู่การที่ในปี 2562 ชาวบ้านได้รวมตัวประท้วงที่บริเวณหน้าศาลาว่าการจังหวัดบึงกาฬ เรียกร้องให้ทางจังหวัดช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ไม่มีความคืบหน้า
“ปลายปี 2562 ประมาณเดือนตุลาคม กลุ่มพี่น้องบะหนองหล่มได้เข้าร่วมกับทางสมัชชาคนจน ชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แล้วก็ได้มติ ครม. (คณะรัฐมนตรี) แก้ไขปัญหาทุกกรณีของสมัชชาคนจน เมื่อได้มติมา ทางจังหวัดก็มีมติให้มีการทบทวนสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บะหนองหล่ม แล้วก็ตรวจสอบจบไปแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันยังรอฝ่ายเลขาฯ ประสานกับทางจังหวัดเปิดประชุมคณะทำงานประจำจังหวัด” พรชัย กล่าว
พรชัย กล่าวต่อไปว่า ในเมื่อมีการทบทวนสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บะหนองหล่มเรียบร้อยแล้ว หากข้อเท็จจริงพบว่า หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ที่ออกนั้นคลาดเคลื่อนไปจากหลักฐานของทางราชการก็ต้องดำเนินการเพิกถอนหนังสือดังกล่าว โดยการสำรวจเพื่อออก นสล. ในปี 2524 มีการยื่นบัญชีทะเบียนราษฎรในพื้นที่แนบท้ายไปด้วย แต่เมื่อ นสล. ออกมาในปี 2528 กลับไม่ได้ใช้ทะเบียนราษฎรนั้นมาอ้างอิง
จากการต่อสู้ของชาวบ้านบะหนองหล่ม ต.ท่าสะอาดอ.เซกา จ.บึงกาฬ สะท้อนความสำคัญของ “กรรมสิทธิ์ในที่ดิน” หากชาวบ้านมีเอกสารรับรองสิทธิก็จะสามารถบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินได้ ซึ่งกรณีของบะหนองหล่ม พรชัย ระบุว่า หากทางการออกเอกสารให้ในรูปแบบ “โฉนดที่ดิน” ก็อยากจะทำ “เกษตรนิเวศ” เป็นมรดกส่งมอบให้ลูกหลาน เพื่อที่คนรุ่นใหม่ในชุมชนจะได้ไม่ต้องออกไปหางานทำนอกพื้นที่
“ถ้าเราไม่มีกรรมสิทธิ์ เราจะเอาแบ๊กโฮไปขุด หรือจะเอารถไปไถก็ไม่ได้ ปัจจุบันเราไม่มีกรรมสิทธิ์ก็ทำได้แค่พืชล้มลุกซึ่งมันไม่ตรงกับประเด็น คือมันไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงให้เรา แต่ถ้าได้โฉนดในใจผมคิดทำเกษตรนิเวศเพื่อต่อยอดไปให้ลูกให้หลาน มันเป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนหรือพื้นที่อื่นๆ อยากมาดูงานเกี่ยวกับเกษตรนิเวศก็สามารถทำได้ แต่ทีนี้มันติดว่าเราไม่มีกรรมสิทธิ์เราทำอะไรไม่ได้” พรชัย ระบุ
พรชัย ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันชาวบ้านบะหนองหล่ม แม้ไม่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มขู่คุกคามหรือขับไล่ออกจากพื้นที่อย่างที่ผ่านมา แต่ “ผลกระทบทางจิตใจ” ยังคงเหลือตกค้างอยู่ โดยยังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่กลับเข้าไปในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐแวะเวียนเข้ามาในพื้นที่ แต่มาในรูปแบบการจับตาสอดส่องว่าชาวบ้านทำอะไร ซึ่งบางครั้งชาวบ้านเองก็ต้องเตือนเจ้าหน้าที่กลับไปบ้างเช่นกันอาทิ เคยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตอนกลางคืน ซึ่งชาวบ้านก็มีทรัพย์สินต้องปกป้องและไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ด้าน รัชนี สิทธิรัตน์ ตัวแทนสมัชชาคนจนจังหวัดบึงกาฬ กล่าวเสริมว่า การต่อสู้ของ พรชัย ทองตาม และชาวบ้านบะหนองหล่ม สอดคล้องกับความพยายามของ สมัชชาคนจน ในการผลักดัน “รัฐธรรมนูญคนจน” ที่ให้การรับรอง “สิทธิเกษตรกร-สิทธิการเข้าถึงที่ดินทำกิน”และอยากให้รัฐธรรมนูญคนจนได้ประกาศใช้จริงเพราะยึดโยงกับประชาชนและมาจากประชาชน
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญคนจน ที่ถูกกล่าวถึงในรายการข้างต้น หมายถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบ ซึ่งเครือข่ายองค์กรภาคีคนจน อันเป็น
ความร่วมมือกันระหว่างภาคประชาสังคม (NGO) นักวิชาการและสื่อมวลชนที่ต้องการขับเคลื่อนประเด็นของคนจน จัดเวทีสัญจร 7 เวที 4 ภาค ระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2565 รวบรวมความคิดเห็นทั้งของประชาชนและพรรคการเมือง เนื่องจากเห็นว่า แม้รัฐบาลหลายยุคสมัยประกาศจะแก้ไขปัญหาความยากจนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะเมื่อมีอำนาจก็มักให้น้ำหนักกับเสียงของคนรวยมากกว่าคนจน
กระทั่งในวันที่ 11 ธ.ค. 2565 มีการจัดเวที “สัญญาประชาคมเขียนรัฐธรรมนูญใหม่” ที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีตัวแทนพรรคการเมือง 7 พรรค ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และพรรคเสรีรวมไทย ร่วมวงเสวนา ซึ่งแม้จะเห็นต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ก็เห็นตรงกันว่าหากรัฐธรรมนูญมีปัญหาก็ต้องแก้ไข
โดยในวันดังกล่าว เครือข่ายองค์กรภาคีคนจนชี้ปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อาทิ สิทธิชุมชนถูกลิดรอน คนจนได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาและเข้าไม่ถึงการจัดการทรัพยากรที่เป็นธรรม อำนาจรวมศูนย์ที่ส่วนกลางแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ จึงนำมาซึ่งข้อเรียกร้อง เช่น รับรองสิทธิชุมชนและสิทธิทางธรรมชาติ ส่งเสริมการกระจายอำนาจบริหารจัดการตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในระดับท้องถิ่น แก้ไขกฎ-กติกาให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
หากนับจากวันนี้ก็ต้องบอกว่าเหลือเวลาอย่างมากที่สุดคือไม่เกิน 2 เดือน เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชุดปัจจุบันจะหมดวาระในวันที่ 23 มี.ค.2566 (หรืออาจจะเร็วกว่านั้นหากรัฐบาลประกาศยุบสภาก่อน) ซึ่งก็จะมีการเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่ รวมถึงได้รัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้นก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่ก็มีความพยายามทำกันมาตลอด 4 ปีในยุคของ สส. และรัฐบาลชุดนี้ ในอนาคตจะมีการผลักดันให้แก้ไข (หรือแม้แต่ร่างใหม่ทั้งฉบับ) ในประเด็นใด? และข้อเสนอรัฐธรรมนูญเพื่อคนจนจะได้รับการตอบสนองหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี