ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วนะครับว่าโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขยังถือว่าเป็นโรคระบาดที่ต้องเฝ้าระวัง จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นอย่างแน่นอน เพราะจากข้อมูลรายงานที่มีอยู่ในขณะนี้พบว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่ในรอบสัปดาห์ก่อนตั้งแต่วันที่ 5-11 กุมภาพันธ์นั้น มีผู้ป่วยเพียง 392 ราย ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตตลอดทั้งสัปดาห์ทั่วทั้งประเทศเพียง 12 รายเท่านั้น เป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลอีกต่อไปแล้ว และยังเป็นการยืนยันว่าการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจากทุกประเทศเดินทางเข้ามาได้รวมทั้งจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าโรคยังมีการระบาดหนักอยู่ ซึ่งเป็นความวิตกเป็นอย่างมากนั้น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาการมีผู้ติดเชื้อและมีอาการที่ต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มเติมในโรงพยาบาลมากขึ้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
สภาพเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้กำลังกระเตื้องขึ้นตามลำดับ รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้สำคัญของประเทศส่วนหนึ่งกำลังทยอยกลับมา และคาดว่าหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศทั้งปีซึ่งขณะนี้ประมาณการไว้ว่าจะมีไม่น้อยกว่า 28 ล้านรายนั้น หากเหตุการณ์ในประเทศทุกอย่างเป็นปกติ ก็อาจจะมีจำนวนเกินกว่า 30 ล้านคนอย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นส่วนส่งเสริมของรายได้หลักจากสินค้าส่งออกและอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
การเปิดประชุมสภาเพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคมก็ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว และก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบที่จะทำให้มีการยุบสภาเร็วขึ้นแต่อย่างใด ประเด็นที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านนำมาอภิปรายกล่าวหาคณะรัฐมนตรีโดยเน้นเป้าไปที่นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นประเด็นเดิมๆ เกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเรื่องกลุ่มจีนสีเทา ที่เข้ามาหาผลประโยชน์ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ประเด็นทั้งหลายก็ได้รับการชี้แจงด้วยเหตุและผลไปทั้งหมดแล้ว จึงคาดหวังว่าการยุบสภานั้นถ้าจะเกิดขึ้นก็คงจะใกล้เคียงกับเวลาที่ครบวาระของคณะรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอนจึงคาดได้ว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าพรรคการเมืองพรรคใดจะได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งเชื่อได้ว่าจะไม่มีพรรคไหนได้คะแนนเสียงมากเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ โดยคาดกันว่าคณะรัฐบาลชุดหน้าจะมีพรรคที่จะทำงานร่วมกันไม่ต่ำกว่า 3 พรรค รวมทั้งอาจจะเห็นภาพที่พรรคที่เคยเป็นฝ่ายรัฐบาลและพรรคที่เคยเป็นฝ่ายค้าน มาร่วมทำงานด้วยกันก็เป็นได้
ย้อนกลับมาในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าโรคโควิด-19 คงจะจบลงในระยะเวลาไม่นานนัก กลายเป็นโรคที่ไม่มีการระบาดรุนแรงอีกต่อไป และหากมีผู้ใดติดเชื้อก็จะไม่มีอาการที่รุนแรงจนน่าวิตก ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยงจริงๆ ซึ่งยังอยู่ในกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบ 3 โดสเป็นอย่างน้อย ซึ่งยังมีอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง
ตัวเลขจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในขณะนี้ พบว่าประชาชนชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว ประมาณ 80% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากและพอเพียงต่อการทำให้เกิดลักษณะของภูมิต้านทานหมู่ ซึ่งจะทำให้เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งยังเป็นเชื้อหลักที่ทำให้เกิดโรคอยู่บ้างในขณะนี้อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ซึ่งย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค และสำนักอนามัยของกรุงเทพฯ ก็ยังมีการรณรงค์ให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 608 ที่มีโรคประจำตัว อันได้แก่ผู้ที่อายุเกินกว่า 60 ปี และ/หรือ ผู้ที่เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและโรคอ้วน ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย ควรจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามจำนวนมาตรฐานคือไม่น้อยกว่า 3 เข็ม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีอาการรุนแรง ซึ่งวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอและอาจจะมีวัคซีนชนิดโปรตีนเบสเข้ามาร่วมด้วยนั้น และหลังจากฉีดครบแล้วควรจะมีการฉีดซ้ำทุก 6 เดือนส่วนในผู้ที่มีสุขภาพดีและฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้วการฉีดเข็มต่อต่อไปทุก 6 เดือนก็ยังเป็นข้อแนะนำอยู่ เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานของโรคนี้ยังคงมีอยู่ในระดับสูงพอเพียงต่อการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงเมื่อมีการติดเชื้อได้
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านอธิบดีกรมควบคุมโรคได้มีการแจ้งข่าวว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนบริจาคจากประเทศเกาหลีซึ่งเป็นตัวแทนผู้ผลิตวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ เป็นวัคซีนสำหรับต่อต้านเชื้อ 2 สายพันธุ์ (Bivalent) คือทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นและสายพันธุ์โอมิครอน เป็นจำนวน 5 แสน โดส และยังจะได้รับวัคซีนบริจาคชนิดไบวาเลนต์ของโมเดอร์นาจากประเทฝฝรั่งเศส อีกจำนวน 1 ล้านโดส โดยวัคซีนทั้ง 2 ลอตดังกล่าวจะนำมาฉีดให้กับกลุ่ม 608 เป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มฉีดได้ในต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ที่รัฐบาลได้สั่งซื้อเข้ามานั้นยังมีจำนวนพอเพียงต่อการที่จะฉีดเป็น Booster ให้กับประชาชนที่ต้องการเข้ารับการฉีดจนถึงปี 2567
นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้มีการนำภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ที่เรียกกันย่อๆว่า LAAB มาฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเฉพาะ เช่น ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีนชนิดต่างๆ ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังที่อยู่ระหว่างการล้างไต ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ผู้ที่เป็นโรค HIV ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิอยู่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งระหว่างการรักษา ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และทำให้เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นกระทรวงที่สำคัญ และเป็นหลักในการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทยด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง
การเข้าถึงเพื่อรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในขณะนี้นั้น ในส่วนของกรุงเทพฯ สำนักอนามัยของกรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดฉีดวัคซีนตามศูนย์บริการสาธารณสุขต่างๆ รวมทั้งในโรงพยาบาลทั้งที่สังกัด กระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งด้วย ตามที่มีการประกาศเป็นระยะๆ ส่วนในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศนั้นสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ก็เป็นหน่วยงานสำคัญที่เป็นผู้ประสานจัดการให้มีการฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลต่างๆทั่วทั้งจังหวัดอยู่เช่นกัน
ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่มีอาการเจ็บป่วย เช่น ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือมีไข้ต่ำๆ ระคายคอ เจ็บในลำคอไอ จาม ปวดศีรษะหรือปวดตามเนื้อตามตัว และคิดว่าอาการน่าจะเข้าได้กับการติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 นั้น ก็สามารถเข้ารับการตรวจรักษาได้ในโรงพยาบาลตามสิทธิพื้นฐานที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม หรือระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ตลอดจนรัฐวิสาหกิจและอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้เช่นเดิม
ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตของโรคโควิด-19 มาแล้ว ทั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จของคณะรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีชื่อว่า ศบค. เป็นผู้รับผิดชอบวางแผนบริหารจัดการดำเนินการ ทั้งในเรื่องของการป้องกันและการรักษาอย่างดียิ่ง จนประเทศไทยได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกในเรื่องของประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดการ แน่นอนต้องขอขอบคุณผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลักทั้งหลาย คือกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตลอดจนคณาจารย์และนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์หลายแห่ง ที่ได้ช่วยกันในทุกด้านรวมทั้งการให้ความรู้ในเรื่องโรคนี้
ที่สำคัญยิ่งคือการที่ทำให้ประชาชนทุกคนเห็นความสำคัญของการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโรคระบาดซึ่งถ่ายทอดผ่านทางระบบทางเดินหายใจด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งถึงแม้ว่าโรคโควิด-19 กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศก็ยังคงใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และหากสามารถจะปฏิบัติต่อไปได้จนเป็นนิสัยโดยเฉพาะหากผู้นั้นป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินลมหายใจทุกชนิด ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังผู้อื่น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และสำหรับประชาชนทั่วไปการที่ต้องออกไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก การสวมหน้ากากอนามัยอาจจะช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้รับเชื้อที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจของผู้อื่นเข้ามาสู่ตัวเองได้เช่นกัน
ความรักและความสามัคคีของคนในชาติเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการที่จะทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าได้ ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่ายในทุกกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความเจริญดังกล่าว โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก รวมทั้งความเอื้ออาทร การดูแลซึ่งกันและกันด้วยความเมตตา กรุณา โอบอ้อมอารี ย่อมทำให้ประเทศไทยที่เป็นแผ่นดินเกิดและเป็นที่รักของเรานี้ เป็นประเทศที่น่าอยู่อาศัยอย่างที่สุด
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี