คงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นภัยคุกคามของประชาชนทั่วทั้งโลกมาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี รวมทั้งในประเทศไทยของเราเองด้วย ที่ทำให้มีผู้เจ็บป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษามากกว่า 4.7 ล้านราย และเสียชีวิตไปรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.4 หมื่นราย เพราะเมื่อดูตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วง 1 สัปดาห์ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 6 มีนาคมมีเพียงแค่ 147 ราย เท่ากับมีผู้ป่วยทั้งประเทศวันละแค่ 21 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นแค่ 7 รายหรือคิดเฉลี่ยเท่ากับ 1 รายต่อวันเท่านั้นเอง
ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างมากมายจนไม่น่ามีปัญหาอีกแล้ว แต่ก็พบว่าประชาชนชาวไทยจำนวนไม่น้อยยังป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยไปในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่มีผู้คนจำนวนมากจะพบว่า คนไทยเกือบทั้ง 100% ยังคงใส่หน้ากากอนามัยอย่างมิดชิดซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ในเรื่องของการฉีดวัคซีนนั้น หน่วยงานสาธารณสุขของภาครัฐยังคงมีข้อแนะนำให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนซึ่งน่าจะเป็นเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 หรือ 4 หรือ 5 แล้ว เพื่อป้องกันอาการรุนแรงในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสที่ยังคงเป็นสายพันธุ์โอมิครอนเข้าไปจะได้ไม่มีปัญหา ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่มีสุขภาพดีนั้นยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่เพื่อป้องกันตัวเอง ควรจะได้รับการฉีดอย่างน้อยปีละ 1 เข็มไปก่อน
ภัยที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั่วไปนั้นมาจากได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นจากโรคติดเชื้อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นไวรัสหรือแบคทีเรีย การบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุทุกชนิด ซึ่งในประเทศไทยนั้นเกิดจากอุบัติเหตุทางจราจรสูงมากและที่สำคัญไม่น้อยก็คือ ภัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ซึ่งในประการหลังนี้ประเทศไทยกำลังผจญกับสิ่งที่ก่อให้เกิดภยันตรายต่อสุขภาพอย่างมากคือจากฝุ่นละอองทางอากาศที่เรียกว่า PM2.5 ซึ่งหากมีปริมาณสูงที่ระดับหนึ่ง ก็จะก่อให้เกิดพิษร้ายต่อร่างกายได้ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ติดตามมาอย่างมากมาย
จึงขอนำเรื่องของ PM2.5 มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่ามันคือฝุ่นขนาดเล็กมากๆ เล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ จนขนจมูกของมนุษย์ซึ่งมีหน้าที่กรองฝุ่นขนาดเล็กไม่สามารถจะกรองฝุ่นนี้ไว้ได้ ทำให้ฝุ่นนี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของคนเรา ไปสู่ปอดและเข้าสู่กระแสเลือดได้ และฝุ่นที่ว่านี้ยังมีขนาดเล็กกว่ารูขุมขนจึงทำให้ผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายได้เช่นเดียวกัน ฝุ่นตัวนี้จะเป็นตัวพาสารโลหะหนักต่างๆ เช่นปรอท แคดเมียม และสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย จึงนับว่าเป็นฝุ่นที่เป็นอันตราย หรือมีภยันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
ผู้ที่ได้รับฝุ่นนี้ในปริมาณสูงและต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานจะเกิดผลเสียอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นอาจจะมีอาการเพียงแค่ไอจามหรือคล้ายกับภูมิแพ้ ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วจะมีอาการมากขึ้น ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง และที่ร้ายแรงที่สุดคือเป็นมะเร็งของปอดได้ด้วย
ปริมาณของฝุ่นจะมีอันตรายมากน้อยแค่ไหนได้มีการจัดระดับไว้ โดยกรมควบคุมมลพิษของประเทศไทยได้จัดระดับดัชนีคุณภาพอากาศ ที่เรียกว่า Air Quality Index (AQI) เป็น 5 ระดับ วัดจากปริมาณของฝุ่นเป็นไมโครกรัมต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร
ระดับที่ 1 AQI 0-25 แทนด้วยสีฟ้าแสดงว่าคุณภาพอากาศดีมาก
ระดับที่ 2 AQI 26-50 แทนด้วยสีเขียว แสดงว่าคุณภาพอากาศดี ทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ทุกอย่าง
ระดับที่ 3 AQI 51-100 แทนด้วยสีเหลือง แสดงว่าคุณภาพอากาศปานกลาง อาจมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ อาจเคืองตาไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ระดับที่ 4 AQI 101-200 แทนด้วยสีส้ม แสดงว่าคุณภาพอากาศไม่ดี มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับผู้ป่วยและผู้มีร่างกายอ่อนแอ อาจปวดศีรษะ แน่นหน้าอก หัวใจเต้นไม่ปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลียได้ด้วย หากมีอาการดังกล่าว ควรไป พบแพทย์
ระดับที่ 5 AQI มากกว่า 201 แทนด้วยสีแดง อากาศเลว มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แจ้ง และต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองรวมทั้งหากมีอาการดังที่กล่าวไว้แล้วต้องไปพบแพทย์
โดยสรุปนั้นระดับที่ 4 และ 5 หรือที่แทนด้วยสีส้มและสีแดง ซึ่งเป็นระดับที่มีปริมาณฝุ่นมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพชัดเจน
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นองค์กรการแพทย์หลายองค์กร ประกอบด้วย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ สมาคมอุรเวชแห่งประเทศไทยฯ สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและสมาคมพิษวิทยาคลินิก ได้ออกประกาศร่วมกันเรื่องการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5 โดยมีเนื้อหาดังนี้
เป็นที่ทราบและตระหนักกันดีถึงพิษภัยต่อสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 ทั้งผลเฉียบพลันและผลเรื้อรัง ไม่เฉพาะผลต่อระบบการหายใจที่เป็นช่องทางนำฝุ่นเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น มีผลต่อการเกิดโรคระบบต่างๆ เช่น ระบบหลอดเลือดและหัวใจระบบประสาท หลอดเลือดสมอง และโรคไต ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายได้มากคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (โรคปอด หัวใจ สมองและไต) ในขณะที่ทุกภาคส่วนกำลังระดมสมองแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประชาชนควรดูแลสุขภาพของตัวเองในช่วงที่มีฝุ่นมีปริมาณสูงดังนี้
1.หมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลของรัฐและเอกชนอย่างสม่ำเสมอหรือใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นแบบพกพาเพื่อวางแผนกิจวัตรประจําวันให้เหมาะสมและให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น PM2.5 โดยการจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัย
2.เมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง)ขึ้นสูงเกินเกณฑ์คือ
ก.สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยงควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง บุคคลทั่วไปควรลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
ข.สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทุกคนควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้งให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา
ค.สูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้งให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงานไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที
3.ขณะที่มีปริมาณฝุ่นภายนอกขึ้นสูง ภายในตัวอาคารจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
4.การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดโอกาสเจ็บป่วย แต่ขณะที่ปริมาณฝุ่นขึ้นสูงควรหลีกเลี่ยงหรือชะลอการออกกำลังกายกลางแจ้ง ตามระดับเตือนภัยในข้อ 2 หรือออกกำลังกายในร่มที่มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
5.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยเร่งการขับฝุ่น PM2.5 ที่เล็ดลอดเข้ากระแสเลือดออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น
6.การอยู่ในบริเวณที่มีต้นไม้สีใบเขียวจะช่วยการดูดซับฝุ่นในอากาศได้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งคำแนะนำดังกล่าวทั้งหมดเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนเป็นอย่างมาก
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นพบว่าค่า AQI ของกรุงเทพฯจะอยู่ที่ระดับสีแดงและสีส้มเกือบจะตลอดสัปดาห์ ส่วนจังหวัดในภาคเหนือจะอยู่ในระดับสีแดงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน และมีข้อสังเกตว่าค่า AQI จะขึ้นสูงมากในช่วงบ่ายถึงเย็น ซึ่งน่าจะเกิดจากการสะสมของฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากฝุ่นควันจากยานพาหนะ ไฟป่า เผาขยะและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยพบว่ามีผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 คงจะอยู่คู่กับประเทศไทยไปอีกเป็นระยะเวลานาน เพราะการแก้ไขที่ต้นเหตุเป็นเรื่องค่อนข้างจะยาก ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะได้มีความพยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องของการควบคุมป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าซึ่งเกิดจากการเผาของประชาชนในบางพื้นที่ หรือแม้แต่เรื่องของความพยายามที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้นเพื่อลดมลภาวะฝุ่นละอองดังกล่าวในระยะยาวก็ตาม
ภยันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปจากฝุ่น PM2.5 ก็ได้แต่หวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้ได้รัฐบาล ที่มีความตั้งใจในการจัดการเรื่องฝุ่นดังกล่าว โดยอาจจะต้องดำเนินการให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีอย่างแท้จริง ก็จะเป็นคุณประโยชน์มหาศาลแก่ชาวไทยทุกคน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี