ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องสำหรับจำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการจนกระทั่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในรอบระหว่างวันที่ 5-11 มีนาคมนั้น มีจำนวนทั้งประเทศเพียง 122 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพียงแค่ 6 ราย ซึ่งทำให้น่าจะมั่นใจได้แล้วว่าโรคโควิด-19ที่เคยระบาดอย่างรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ยังคงมีความห่วงใยและออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าว่าโรคนี้อาจจะกลับมาระบาดได้อีกครั้งในช่วงสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนชาวไทยจะออกมาร่วมฉลองประเพณีนี้กันอย่างมากมาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังต่อไป
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19ทั่วทั้งโลกก็ผ่อนคลายลงไปเกือบหมดแล้ว หลังจากที่โรคนี้ได้ทำให้มีผู้ป่วยที่มีอาการและเข้าสู่กระบวนการรักษามากกว่า 682 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตไปทั้งหมดมากกว่า 6.8 ล้านรายโดยทุกประเทศทั่วโลกก็ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ตลอดจนมีการเปิดประเทศให้เดินทางไปมาหาสู่กันได้เกือบเป็นปกติ 100 เปอร์เซ็นต์
ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้ใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเงินเป็นเงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อมาใช้ในการจัดการและแก้ปัญหาเรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 จนโรคนี้ได้สงบลง โดยประเทศไทยเรานั้นได้รับการชมเชยจากองค์การอนามัยโลกว่ามีการจัดการในเรื่องของโรคโควิด-19 อย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพมาก เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ต้องขอบอกว่า ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นระบบที่ดีมากที่สุดระบบหนึ่ง เป็นระบบที่ครอบคลุมประชากรในทุกภาคส่วน และในทุกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ จากการที่มีระบบ 3 ระบบที่บริหารจัดการและมีการเชื่อมต่อถึงกันได้ คือ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่เรียกกันว่า 30 บาทครอบคลุมประชากรประมาณ 47 ล้านคน ระบบประกันสังคม รับผิดชอบผู้ใช้แรงงานที่อยู่ในระบบนี้ไม่น้อยกว่า 12 ล้านคนและยังขยายบางส่วนไปครอบคลุมประชาชนในสิทธิ์อื่นด้วย และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งรวมทั้งญาติสายตรงด้วย ดูแลประชากรประมาณ6 ล้านคน ประชากรส่วนที่เหลืออยู่ในระบบของรัฐวิสาหกิจซึ่งปัจจุบันก็ได้มาอยู่ในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกือบทั้งหมดแล้ว
ทั้ง 3 ระบบนั้นมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งในเรื่องของการบริหารจัดการ ในระยะเริ่มต้นอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันนี้ต้องถือว่าเป็นระบบที่ดี และยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
ในส่วนของระบบประกันสังคม ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ได้มีการพัฒนา ในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับผู้ที่อยู่ในระบบนี้ โดยมีการจัดโปรแกรมการตรวจเช็คสุขภาพตามช่วงอายุต่างๆ เริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปจนถึงอายุเกินกว่า 60 ปี ครอบคลุมการตรวจที่มีความจำเป็นและช่วยในการวินิจฉัยโรคพื้นฐานซึ่งเป็นโรคที่อาจจะป้องกันได้ เช่น การตรวจเอกซเรย์ปอด ซึ่งอาจจะช่วยค้นหาวัณโรคปอดในระยะแรกได้ หรือการเจาะตรวจเลือดเพื่อหาระดับของน้ำตาล หรือไขมันเพื่อค้นหาโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงซึ่งอาจจะนำไปสู่โรคอื่นๆ และในช่วง 2 ปีหลังนี้ยังมีการรณรงค์ให้ผู้มีอายุมากกว่า 50 ปีทุกราย เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงของผู้สูงอายุต่อการมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้
นอกจากนี้สำนักงานประกันสังคมยังได้เพิ่มสิทธิการเข้าถึงการรักษาของผู้ที่อยู่ในระบบนี้เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาโรคต่างๆ เร็วขึ้นซึ่งประกอบไปด้วยการทำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ การผ่าตัดรักษาโรคนิ่วในท่อน้ำดี การผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม การผ่าตัดรักษาก้อนเนื้อของมดลูก และการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยได้มีการเริ่มนำร่องในโรงพยาบาลประมาณ 40 โรง มีข้อกำหนดให้ทุกโรงพยาบาลที่นำร่องนี้ ต้องให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดในระยะเวลาไม่เกิน 15 วันหลังจากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัย ซึ่งจะช่วยการลุกลามและอาการรุนแรงของโรคต่างๆและทำให้การพยากรณ์โรคดีขึ้น
ในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีเรื่องที่น่ายินดีว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการหรือที่เรียกกันว่าบอร์ดของสำนักงานนี้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการดำเนินการในส่วนของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเพิ่มเติมอีก 5 รายการ ดังนี้
เรื่องแรกคือการตรวจสุขภาพของช่องปาก และบริการขัดและทำความสะอาดฟันสำหรับกลุ่มอายุ 25 - 59 ปีและกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้ากลุ่มเป้าหมายผู้มารับบริการใน 6 เดือนแรก ประมาณ 4.7 ล้านคน
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องบริการชุดตรวจหาการติดเชื้อ HIV หรือที่รู้จักกันว่าโรคเอดส์ด้วยตนเอง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจการติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งหากพบความผิดปกติก็จะเข้าสู่กระบวนการได้รักษาเร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาชุดตรวจซึ่งผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการตรวจคัดกรองเพิ่มขึ้นประมาณ 240,000 ราย รวมกับกลุ่มเป้าหมายเดิมซึ่งมีอยู่ประมาณ 660,000 ราย
เรื่องที่ 3 คือบริการตรวจคัดกรองโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรงในทารกแรกเกิดด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มีกลุ่มเป้าหมาย 2.7 แสนราย โดยปัจจุบันนี้มีทารกแรกเกิดร้อยละ 50 ได้รับการตรวจด้วยเครื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งมีกลุ่มที่ยังไม่ได้ตรวจประมาณ 136,000 ราย การคัดกรองดังกล่าวจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้เด็กที่มีภาวะหัวใจพิการได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะต้นๆ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า
เรื่องที่ 4 คือบริการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี ในประชาชนทั่วไปที่เกิดก่อนพ.ศ. 2535 เป็นการตรวจ 1 ครั้งตลอดชีวิต มีกลุ่มเป้าหมาย 20-30 ล้านคน ในระยะ 6 เดือนแรกนี้ตั้งเป้าตรวจให้ได้ 1 ล้านคนโดย
เรื่องสุดท้ายคือการปรับแผนการจัดหายาและเวชภัณฑ์ตามโครงการพิเศษปี 2566 คือการบริการวัคซีน HPV เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เนื่องจากมีวัคซีนไม่เพียงพอ จึงต้องจัดซื้อเพิ่มเติมอีก เพื่อให้โครงการนี้บรรลุเป้าหมาย
การปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยจึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง โดยระบบนี้เน้นการเข้าถึงของประชาชนในการได้รับบริการซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งเรื่องของการสร้างความเท่าเทียมในการได้รับสิทธิในการเข้าใช้บริการต่างๆ
แน่นอนว่าการดูแลสุขภาพของประชาชนซึ่งถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญของรัฐบาลนั้น จะต้องพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องสุขภาพถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้คน แต่การที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็จำเป็นต้องมีการใช้งบประมาณที่สอดคล้องกับโครงการต่างๆ ที่วางแผนไว้ ในส่วนของระบบประกันสังคมเงินที่ใช้ในการบริหารจัดการมาจาก 3 ภาคส่วนคือ จากผู้ใช้แรงงานส่วนหนึ่ง จากนายจ้างส่วนหนึ่งและจากรัฐบาลส่วนหนึ่ง ซึ่งในระยะยาวอาจจะไม่เป็นปัญหามากนัก
ในส่วนของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการนั้นเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งหมด แต่เนื่องจากจำนวนของข้าราชการและญาติสายตรงในระบบมีไม่มากนัก จึงไม่เป็นปัญหาในเชิงงบประมาณ
ส่วนที่น่าเป็นห่วงแต่เป็นส่วนสำคัญที่จะต้องทำให้ดีขึ้น เพราะดูแลสุขภาพของประชาชนมากกว่าระบบอื่นใดเป็นจำนวนถึง 47 ล้านคน ซึ่งใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดเช่นกัน จึงเป็นเงินจำนวนมากมหาศาล และในระยะยาวอาจจะเกิดผลกระทบได้ เป็นเรื่องดี ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เน้นความสำคัญของเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเพิ่มมากขึ้น เพราะหากประสบความสำเร็จ จะเป็นการประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเรื่องสุขภาพนั้น การสร้างย่อมดีกว่าการซ่อม
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี