ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองเริ่มตั้งข้อสังเกตและสงสัยในความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลว่ามุ่งมั่นตั้งใจจะจัดตั้งรัฐบาล หรือ เป็นการปั่นกระแสสุมไฟให้เกิดปฏิวัติประชาชน พฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาทั้งหัวหน้าพรรคและว่าที่สส.ล้วนแสดงความก้าวร้าว ปลุกเร้าความเดือดพล่านของมวลชนและมันก็ได้ผล เวลานี้มวลชนเริ่มเคลื่อนไหวออกมาท้าทายสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า อำนาจเก่าบ้างแล้ว
ว่าที่ สส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกดซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา 28 ข้อหา 2 ในยี่สิบแปด คดีอาญาเป็นข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งชลธิชาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์สระหว่างการหาเสียงว่า
“หากศาลตัดสินจำคุกเธอในคดีใดคดีหนึ่งเธอจะขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยปริยาย”ชลธิชายังบอกกับรอยเตอร์สด้วยว่า “การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยต้องเคลื่อนไหวในทั้งสภาและบนถนนพร้อมๆ กัน”
ชลธิชากับ ว่าที่ สส.ก้าวไกล ที่เป็นจำเลยในคดีอาญามาตรา 112 ก็เริ่มเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนทันทีที่ชนะเลือกตั้ง (ยังไม่เป็นทางการ)โดยการกดดันข่มขู่ศาลหาว่า ศาลไม่ยุติธรรมที่เริ่มพิจารณาคดี ในขณะที่ทนายของเธอไม่ว่าง ศาลคงพิเคราะห์ว่าจำเลยจงใจจะถ่วงเวลาจึงให้พยานโจทย์เบิกความตามที่ศาลนัดหมายวันที่ 1 มิ.ย. นายรังสิมันต์ โรม หนึ่งในฮาร์ดคอร์พรรคก้าวไกล ประกาศว่า“ผู้พิพากษาทำลายกระบวนการยุติธรรมที่พิจารณาคดีขณะที่จำเลยไม่มีทนาย เปิดสภาเราจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทันที”นายรังสิมันกล่าวข่มขู่ผู้พิพากษา
และวันศุกร์ที่ 2 มิ.ย. นายรังสิมันต์ นำคณะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตุลาการ ให้สอบสวนองค์คณะผู้พิพากษาและเรียกร้องให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีอาญามาตรา 112 ทั้งหมด
พรรคก้าวไกล และว่าที่ สส.ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่าคณะผู้พิพากษา ผู้พิจารณาคดีล้วนแต่ได้การคัดเลือกมาอย่างรอบคอบ และพรรคก้าวไกลย่อมรู้ดีว่า การละเมิด หรือ ข่มขู่ศาลนั้นผิดกฎหมาย แต่ว่าที่ สส.พรรคก้าวไกล ยังแสดงกิริยาก้าวร้าวท้าทายศาล เพื่อปั่นกระแสปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนพรรคเห็นว่าพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง และนายรังสิมันต์ คนเดียวกันนี้ ที่เรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่และเก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที
ในขณะเดียวกัน หัวหน้าพรรคก้าวไกลนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับคณะพากันเดินสายพบนักธุรกิจ พบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบข้าราชการในกระทรวงต่างๆ โดยอ้างว่าข้าราชการเชิญมาเพื่อรับฟังความคิดเห็น นัดพบกับนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฯลฯ
นายพิธาทำตัวเหมือนกับว่า ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ทั้งๆ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยังไม่ได้รับรอง สส.แม้แต่คนเดียว
นายพิธาและสมาชิกพรรคก้าวไกลเคลื่อนไหว ในฐานะ ว่าที่นายกฯเพื่อให้ผู้สนับสนุนพรรคซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ เห็นว่าพรรคถูกกลั่นแกล้ง หากตั้งรัฐบาลไม่ได้หรือหากนายพิธาถูกดำเนินคดี ซึ่งพิธาและแกนนำในพรรคก้าวไกลรู้ว่ามวลชนของพรรคจะโกรธแค้นมาก หากนายพิธาถูกดำเนินคดี
เพราะเคยมีตัวอย่างมาแล้ว เมื่อครั้งพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ตอนนั้นมวลชนของพรรค และกลุ่มทะลุนั้นโน้นนี้ ออกมาเคลื่อนไหวประท้วงรุนแรง และลามปามไปถึงการจาบจ้าง ล่วงละเมิดสถาบันฯ จนแกนนำหลายคนถูกดำเนินคดี แต่ยิ่งถูกดำเนินคดีมากเท่าไหร่พรรคก้าวไกลซึ่งแปลงร่างมาจากพรรคอนาคตใหม่ก็ยิ่งปลุกระดมปั่นกระแสว่าจำเลยและผู้ต้องหา ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลทหารและสถาบันมากขึ้นเท่านั้น
พรรคก้าวไกล ซึ่งสมคบกับไอลอว์ที่รับเงินสนับสนุนจาก NED (National Endowment for Democracy) เป็นซีไอเอพลเรือนของสหรัฐอเมริกา จัดหาทนายและประกันตัวจำเลย ในคดีอาญามาตรา 112 ทุกราย พรรคก้าวไกลกับไอลอว์ร่วมมือกันรณรงค์ให้ยกเลิก มาตรา 112 โดยกล่าวว่า ม.112 มีโทษรุนแรงเกินไป และ ถูกนำมาใช้เป็นกฎหมายปิดปากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ต่อมา พรรคก้าวไกล ใช้นโยบายแก้ไข/ยกเลิก ม.112 ปฏิรูปกองทัพ และยกเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเรือธงในการหาเสียง เป็นที่ถูกใจคนรุ่นใหม่และผู้ปกครองที่ไม่ต้องการให้ลูกชายไปรับใช้ชาติจากการเกณฑ์ทหาร พากันเทคะแนนให้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ได้ สส. รวมกัน 151 คน
จากชัยชนะที่เหนือความคาดหมาย ทำให้พรรคก้าวไกล และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คิดไปไกลถึงการปฏิวัติประชาชน จึงไม่แปลกใจที่ สมาชิกฮาร์ดคอร์ของพรรคก้าวไกล ออกมาท้าทายศาล และขับไล่รัฐบาลรักษาการให้ออกจากทำเนียบทันที ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลรักษาการไม่อาจละทิ้งหน้าที่ทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารประเทศ
ด้าน นายพิธาและคณะเดินหน้าเร่งรีบจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ในเร็ววัน ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตามกติกา ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ยังบังคับใช้อยู่ ก็ต้องเดินไปตามกรอบนั้น คือ เริ่มจากการรับรอง สส.อย่างเป็นทางการ และ รัฐธรรมนูญกำหนดว่าอย่างน้อย สส.ต้องผ่านการรับรองร้อยละ 95 ภายใน 60 วันก่อนที่จะเรียกประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ซึ่งนายพิธาก็รู้เรื่องนี้ดีแต่เหตุผลที่ทำเป็นเร่งรีบจัดตั้งรัฐบาลเพื่อปั่นกระแสปลุกระดมมวลชนลงถนนหากก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ที่สำคัญนายพิธารู้อยู่เต็มอกว่า การถือครองหุ้นสื่อเป็นขวากหนามสำคัญที่ยากจะข้ามผ่านไปได้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นบริษัทวีลัคมีเดีย เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนมาก แต่นายพิธายังไม่ยอมแก้ปัญหา ถือหุ้นไอทีวี ทั้งๆ ที่รู้ปัญหาล่วงหน้ามาหลายปี
สาเหตุนายพิธา ไม่ยอมแก้ปัญหาถือหุ้นสื่อก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะว่า หนึ่งนายพิธาไม่คาดคิดว่าจะชนะเลือกตั้งมากมายถึงเพียงนี้ สองนายพิธา แสร้งทำให้มวลชนเห็นว่าถูกกลั่นแกล้งเพื่อสร้างความโกรธแค้นจนถึงขั้นลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติประชาชนได้
นายพิธาเป็นนักเรียนนอก ที่ติดตามข่าวสารการเมืองต่างประเทศมากต้องรู้ดีว่าในนานาอารยะประเทศประชาธิปไตย พรรคการเมืองต้องเดินตามกรอบของกฎหมายในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในบางครั้งอาจล่าช้าไปบ้าง
ตัวอย่างเช่น ในประเทศเยอรมนีมีการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 แต่ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร 598 คน จำเป็นต้องหาพรรคร่วมมาจัดตั้งรัฐบาลผสมด้วยความยากลำบาก กว่านายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ของ เยอรมนี จัดตั้งรัฐบาลผสมได้ ปาเข้าไปเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังเลือกตั้งมีอยู่ครั้งหนึ่งใช้เวลา 208 วัน กว่าจะตั้งรัฐบาลได้ และในประเทศเบลเยียม ก็เช่นกันบางครั้ง ใช้เวลา 592 วัน จึงจะตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ประเทศไทยเลือกทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พรรคก้าวไกลประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม กับอีกเจ็ดพรรคการเมืองในวันที่ 22 พฤษภาคม การประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสมวันที่ 22 พฤษภาคม เพื่อให้ตรงกับวันครบรอบ 19 ปี ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจจากรัฐบาลผีหัวขาดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคก้าวไกลก็เร่งรีบจัดตั้งรัฐผสมให้ได้ พร้อมๆกับการไล่นายกฯรักษาการและข่มขู่ผู้พิพากษา โจมตีความไม่ยุติธรรมของศาล ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสงสัยว่าพรรคก้าวไกลปั่นกระแสสร้างเงื่อนไขสุมไฟให้เกิดปฏิวัติประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี