พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนคติธรรมประการหนึ่งสำหรับเตือนใจชาวพุทธทั้งหลายไว้สำหรับการยับยั้งชั่งใจไม่หลงทะนงดึงดันไปกับความคิดเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งจนสุดโต่ง ซึ่งมีแต่ต้องพลัดตกลงในหุบเหวแห่งหายนะ จัดว่าเป็นพระพุทธวจนที่เป็นบทพระคาถาป้องกันคนทั้งหลายไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท
นั่นคือพระพุทธวจนที่ว่า ตราบใดที่ยังมีผู้เตือน ย่อมนับว่าผู้นั้นเป็นผู้มีลาภอันประเสริฐ ซึ่งพระพุทธวจนนี้เป็นพระพุทธวจนต่อเนื่องมาจากบทที่ว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าใครใดก็ตามที่ไม่มีโรคย่อมเป็นผู้เป็นสุขในที่ทั้งปวง ไม่ตั้งอยู่ในความทุกข์ทรมานทางกายนี้ และเป็นทางแห่งการมีชีวิตยืนยาวอันเป็นที่ปรารถนาของคนทั้งหลาย
แต่บทที่ว่า ตราบใดที่ยังมีผู้เตือนผู้นั้นย่อมมีลาภอันประเสริฐ แม้เป็นคำสอนที่ล้ำค่าของพระพุทธองค์ แต่ชาวพุทธจำนวนมากก็ไม่ทราบ บ้างทราบแต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เห็นว่าคำเตือนนั้นมีประโยชน์ใดหรือจะก่อให้เกิดลาภอันใดดังนั้นพระพุทธวจนบทนี้จึงห่างไกลและขาดความสนใจของชาวพุทธ ทำให้ชาวพุทธทั้งหลายได้รับประโยชน์จากพระพุทธวจนหรือคำสอนนี้น้อยเกินไป
เป็นธรรมดาของคนเราที่เห็นแก่ตัว มีน้อยนักที่จะเห็นแก่คนอื่น และคนที่เห็นแก่คนอื่นแล้วก็มีไม่มากนัก ที่รู้เห็นเข้าใจความเป็นไปในการทั้งหลายว่าการใดเป็นคุณ การใดเป็นโทษ
แม้เห็นการที่เป็นโทษแล้ว และการที่เป็นโทษนั้นจะบังเกิดพิบัติแก่คนอื่นก็เป็นเรื่องยากที่คนทั้งหลายจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวตักเตือน ซึ่งคนไทยเราก็มีภาษิตเตือนใจ
อยู่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” เพราะหากพูดไปไม่เป็นที่ต้องหูถูกใจของผู้ฟังแล้ว ดีไม่ดีก็เป็นเหตุเภทภัย เบาะๆ ก็เป็นเหตุให้ทะเลาะเหม็นขี้หน้ากัน สู้นิ่งไว้นั่งดูคนอื่นฉิบหายจะดีกว่า
ดังนั้นผู้ใดที่เห็นภัยอันตรายที่จะบังเกิดแก่ผู้อื่นแล้ว มีจิตใจเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น ยอมรับผลกระทบที่หากจะบังเกิดแก่ตนแล้วเตือนผู้นั้นย่อมถือว่าเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีใจอันประเสริฐ ดังนั้น เพียงเท่าที่ผู้เป็นบัณฑิตมีน้ำใจอันประเสริฐมาตักเตือนก็ต้องถือว่าเป็นมงคลแก่ตนแล้ว
ใครใดก็ตามที่มีผู้เตือนในลักษณะเช่นนี้จึงนับว่าเป็นผู้มีบุญ ถึงยามมีเคราะห์ยามร้ายจะต้องพบเหตุเภทภัยต่างๆ เมื่อผู้เป็นบัณฑิตมาเตือนอันเป็นมงคลแก่ตนแล้ว น้อมนำไประมัดระวังป้องกันก็เป็นทางรอดปลอดภัยและถึงซึ่งทางสวัสดีได้
อย่างง่ายที่สุดและรู้เห็นเข้าใจง่ายที่สุดก็พอมีอุทาหรณ์เป็นตัวอย่างให้เห็นกันได้เช่น
คนขับรถสิบล้อคนหนึ่งถูกด่านเรียกรีดไถเงินไป 800 บาท จ่ายแล้วก็ขับรถต่อไป เห็นเพื่อนสิบล้อขับสวนมาจะไปทางที่ตั้งด่านก็โบกมือเรียกให้หยุดแล้วเตือนว่าข้างหน้ามีด่านโว้ย เพื่อจะได้ชะลอไว้หรือเลี่ยงไปทางอื่นก็จะไม่ถูกรีดไถ แค่นี้ก็เห็นเป็นคุณแล้ว หรือ
นักธุรกิจสาวใหญ่ถูกหนุ่มหล่อเข้ามาทักทายชักชวนในโซเชียลมีเดีย เสนอตัวปรนนิบัติรับใช้พูดเอาอกเอาใจตามใจทุกอย่าง จากนั้นก็เชิญชวนให้เปิดบัญชีเทรดทองบ้าง เทรดคริปโตบ้าง เทรดเงินตราต่างประเทศบ้าง หรือขอทราบเลขบัญชีเพื่อจะโอนเงินมาเข้าหุ้นบ้าง
ครั้นหลงกลทำตามคำชวน เงินก็หาย ชายก็สูญจะไปโวยวายโหวกเหวกร้องเรียนก็อับอายขายหน้าชาวพารา จึงเสียทั้งเงินเสียทั้งใจ ดังนั้นเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาเตือนเรื่องนี้บอกเล่ห์อุบายของเหล่ามิจฉาชีพก็ต้องถือว่าใครได้พบเห็นปฏิบัติตามย่อมได้ลาภอันประเสริฐ
ในเหตุการณ์บ้านเมืองก็เช่นเดียวกัน บรรดาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นไม่ใช่จะเกิดขึ้นในพริบตาเดียว สรรพสิ่งย่อมเกิดจากเหตุ เหตุน้อย เหตุเล็ก เหตุกลางเหตุใหญ่ก่อตัวขึ้นจนเป็นผลบันดาลผลให้เป็นไป
แม้กระทั่งเรื่องฝนฟ้าจะตก แผ่นดินจะแห้งแล้ง ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยไร้ที่ไปที่มา ย่อมแสดงเหตุให้ปรากฏล่วงหน้าก่อนเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าใจคำเตือนไม่ว่าจากธรรมชาติก็ดี จากปรากฏการณ์บางอย่างก็ดี หรือจากคำเตือนของผู้รู้ก็ดี ขึ้นอยู่ว่าจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติหรือไม่
สำหรับผู้มีปัญญาหรือผู้เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ดูหมิ่นดูถูกหรือมองข้ามคำเตือนนั้น เพราะแม้กระทั่งมดตัวเล็กๆ ที่กำลังขนไข่จากใต้ดินขึ้นไปอยู่บนยอดไม้สูง ก็อาจเป็นคำเตือนภัยแก่มนุษย์ได้ว่าน้ำกำลังจะท่วมใหญ่ พึงเตรียมตัวหนีภัยอันเกิดแต่น้ำจะท่วมใหญ่นั้นเถิด เพียงแค่เข้าใจอย่างนี้และเตรียมการรับมืออย่างนี้ก็จะมีความสวัสดีปลอดภัยจากอันตรายจากน้ำท่วมใหญ่นั้น
ในทางการเมืองก็เช่นเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้นใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยไร้ที่ไปที่มา ย่อมอยู่ภายใต้กฎแห่งเหตุและผล คือสรรพสิ่งย่อมเกิดจากเหตุ การจะดับเหตุทั้งหลายก็ต้องดับที่ผลนั้น
การที่ผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พลิกล็อกถล่มทลาย นั่นก็เป็นคำเตือนชนิดหนึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์สังคม สะท้อนออกถึงความรู้สึกนึกคิดและความปรารถนาของปวงชนชาวไทยถึงความไม่พออกพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ และตั้งความหวังไว้กับความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ปรากฏการณ์นี้ยังมีความหมายต่อไปด้วยว่าความปรารถนาเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเป็นหย่อมหรือเป็นบางพื้นที่ แต่มีลักษณะกระจายตัวไปทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ที่เป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญ ที่สำคัญคือในทุกหน่วยทหาร แม้กระทั่งในโรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ได้แสดงออกถึงความปรารถนาของปวงชนชาวไทย
เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ควรให้ความเคารพ เป็นคำเตือนที่ดังสนั่นหวั่นไหว สะเทือนเลื่อนลั่นทั้งรัฐสภา แต่ทว่าความหลงมัวเมาในอำนาจนั้นบางทีก็ทำให้คนหูหนวกตาบอด และกระทำการด้วยโมหะจริต จึงเกิดความผิดเพี้ยนมากขึ้นและรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
คำเตือนอันประเสริฐเกิดขึ้นแล้ว ใครเข้าใจได้และรับฟังปฏิบัติก็ย่อมถือว่ายังมีลาภอันประเสริฐ หากยังหูหนวกตาบอดก็ต้องถือว่าชะตากรรมเป็นเช่นนั้นเอง ใครจักช่วยอะไรได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี