เมืองไทยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2476ในครั้งนั้นมี สส. 78 คน ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง 4 ล้าน 2 แสนคน มีผู้ไปใช้สิทธิฯ 1 ล้าน 7 แสนคน คิดเป็น ร้อยละ 41.45
จากวันที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกมาจนบัดนี้คนไทยได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. แล้ว 27 ครั้ง (ไม่นับรวมการเลือกตั้งซ่อม)
การเลือกตั้ง สส. ของไทยนับเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีการทุจริตการเลือกตั้งด้วยกลอุบายสารพัดชนิดมาโดยตลอด แม้คนที่ได้เป็น สส. จะอ้างว่าได้ชัยชนะมาจากการตัดสินใจของประชาชน แต่ก็เป็นการอ้างเพื่อให้ดูดีเกินจริงเท่านั้น เพราะในส่วนลึกแล้ว สส. ไทยทุกคนย่อมรู้ดีว่าการเลือกตั้ง สส. ในประเทศไทยหาความสุจริต ขาวสะอาดได้ยากมาก
การเลือกตั้ง สส. ครั้งที่ถูกจารึกว่าเต็มไปด้วยการฉ้อฉลมากที่สุดครั้งหนึ่งคือการเลือกตั้งครั้งที่ 7 เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2500 โดยถูกระบุว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง ดังต่อไปนี้ เปลี่ยนหีบบัตรที่ลงคะแนนเสร็จสิ้นแล้ว โดยนำเอาบัตรลงคะแนนที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้กากบาทด้วยตัวเอง ใส่แทนบัตรที่ประชาชนลงคะแนน ใช้คนที่พรรคการเมืองจัดตั้งขึ้น เวียนไปลงคะแนน บังคับให้ต้องเลือกตัวแทนจากฝ่ายของรัฐบาลในขณะนั้น และทำร้ายฝ่ายตรงข้าม รวมถึงสร้างใบปลิวที่เต็มไปด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
ทีนี้ หันมาดูการเลือกตั้ง สส. ในครั้งต่อๆมากันบ้าง เราก็ยังคงพบว่าไม่มีความสุจริต ขาวสะอาดเกิดขึ้นเป็นประจำ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการทุจริตไปตามยุคสมัย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงนับเป็นความไม่สุจริต เราพบว่าบางยุคซื้อเสียงด้วยการแจกปลาทูเค็ม แจกรองเท้าแตะ แจกเงินซื้อเสียง ส่วนการเปลี่ยนหีบบัตรลงคะแนนนั้น ก็ยังเกิดขึ้นบ้างในบางยุค และในบางเขตเลือกตั้ง เพราะเคยถูกนำเสนอเป็นข่าวชัดเจน แต่มาในระยะหลังๆ ข่าวนี้ไม่ปรากฏชัด แต่ก็ยังคงเชื่อกันว่ารูปแบบการทุจริตเช่นนี้ไม่น่าจะหมดสิ้นไปส่วนการซื้อเสียงนั้น ยังคงเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ทว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่จับกุมผู้ทุจริต และปราบปรามการทุจริตไม่มีปัญญาทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มาถึงการเลือกตั้งในยุคที่มีการใช้เครื่องมือเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงโฆษณาชวนเชื่อ และจงใจปล่อยข่าวเท็จ สร้างเรื่องโกหก โดยผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า social media ก็พบว่ามีการจงใจซื้อเสียงโดยอ้างว่าผ่านนโยบายของพรรคการเมือง แล้วส่งข้อความตรงไปยังผู้รับสารจำนวนมาก หากผู้รับสารขาดสติ ไร้ปัญญา ไม่มีเกราะกำบังทางความคิดก็จะหลงเชื่อคำโกหกต่างๆ ของพรรคการเมือง และนักการเมืองโดยง่าย ดังนั้น จึงไม่ประหลาดใจว่า เหตุใดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ จึงมีการใช้รูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อผ่านระบบ social media โดยพรรคการเมืองบางพรรคอย่างเอิกเกริก
นอกจากจงใจโกหกโดยผ่านระบบ social mediaแล้ว ก็ยังพบว่ามีการจงใจโกหกโดยผ่านการหาเสียงทั้งแบบใช้ตัวบุคคลกล่าวคำโกหกตามสถานที่ต่างๆ ที่ไปพบปะประชาชน และโกหกด้วยผ่านป้ายหาเสียงสารพัดชนิด เหตุที่บอกว่าโกหกก็เพราะว่าเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ไม่สามารถทำตามคำโกหกที่หาเสียงไว้
หลายคนที่ติดตามคำโกหกของนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ คงได้เห็นแล้วว่ามีคำโกหกอะไรบ้าง หลายคนได้ถ่ายภาพคำโกหกต่างๆ นานาของพรรคการเมืองจากป้ายโฆษณาชวนเชื่อ อาทิค่ารถไฟฟ้าตลอดสายราคา 20 บาท เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจ่ายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าก๊าซหุงต้ม เพิ่มเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี รักษาโรคต่างๆ ฟรี ฯลฯ
เมื่อเรามี สส. จอมโกหก จากพรรคการเมืองจอมลวงโลก เราก็จึงได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลจอมโกหก เรา (หมายถึงคนไทยทุกคน) จะต้องทนทุกข์ทรมานกับนักการเมืองลวงโลก สส. จอมโกหก และรัฐบาลที่ไม่เคยพูดความจริงไปอีกนานสักเพียงใดหนอ
แต่จะไปโทษใครได้ ก็ในเมื่อคนไทยเป็นคนเลือกสส. จอมโกหกเอง เมื่อคนไทยต้องการให้คนโกหก ไร้คุณธรรม ไร้คุณภาพได้เป็น สส. ก็ต้องทำใจเมื่อได้รัฐบาลจอมโกหก ไร้คุณธรรม และไร้คุณภาพจำไว้ว่า เลือกสิ่งได้ ก็ย่อมได้สิ่งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ก็ทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เลือกตัวเองเลือกต่อไปก็แล้วกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี