คำพังเพยไทยมีอยู่วลีหนึ่งว่า “เรือล่มเมื่อจอดตาบอดเมื่อแก่” คำว่า # เรือล่มเมื่อจอด ใช้ได้กับรัฐนาวาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แล่นฝ่าคลื่นกระแสลมแรงมาหลายครั้งหลายครา กัปตันตู่นำรัฐนาวาไทยผ่านคลื่นใหญ่โควิด-19 และวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้ ตลอดถึงคลื่นความขัดแย้งรุนแรงของสังคมไทย ที่ลุงตู่รู้อยู่เต็มอกว่าคลื่นความขัดแย้งรุนแรงราวสึนามิทางการเมืองนั้น เกิดจากการบริหารประเทศที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตทางนโยบายคอร์รัปชั่นในโครงการต่างๆของ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กับ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร โกงชาติครั้งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายล้านล้านบาท
ความขัดแย้งที่กล่าวมา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนไทยหลายล้านคนกับคนตระกูลนี้ที่ออกมาขับไล่ให้พ้นจากอำนาจและความขัดแย้งที่กล่าวมานี้แหละเป็นพัฒนาการชักนำ พลเอกประยุทธ์เข้าสู่อำนาจในข้ออ้างว่า # เข้ามารักษาความสงบและกอบกู้วิกฤตชาติ วิกฤตแรกที่ลุงตู่ แก้ไขในฐานะองค์รัฏฐาธิปัตย์ คือใช้หนี้ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้างความเสียหายไว้หลายแสนล้านบาท
เมื่อพ้นจากอำนาจรัฏฐาธิปัตย์หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้ลุงตู่ ก็ได้เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ฝรั่งเรียกว่า นายกฯประชาธิปไตยครึ่งใบ เนื่องจากมีนักกฎหมายใกล้ตัวแนะนำให้เพิ่มบทเฉพาะกาล 5 ปี เข้าไปใน รัฐธรรมนูญปี 60 เพื่อความมั่นใจให้พลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานเท่าที่เป็นได้และนักกฎหมายใกล้ตัวพลเอกประยุทธ์ก็จัดการเซตซีโร่ พรรคการเมือง คือ ให้ยกเลิกสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมแล้วขึ้นทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองใหม่นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำลายพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองมายาวนานเจ็ดสิบกว่าปี และมีสมาชิกกว่าล้านคน การทำลาย ปชป.ขั้นที่สอง คือ การดึงอดีต สส.ปชป.กลุ่มใหญ่ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมกับเสนอตำแหน่งสำคัญๆ ให้
การเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้งพลเอกประยุทธ์ได้รับการยกย่องสรรเสริญเพราะมีเทคโนแครตเข้ามาร่วมงานด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาตลอดถึงแก้ปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตได้ แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ ติฉินนินทา เรื่องปล่อยให้ทุนใหญ่เข้ามาผูกขาดจัดการบริหารพลังงาน และมีเสียงวิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรมาภิบาลของขาใหญ่ใน พปชร.ที่ทำงานใต้ดินหากล้วยมาให้สส.และมีข้อสงสัยว่ากล้วยและปัจจัยจำนวนมากได้มาจาก นายตู้ห่าวทุนจีนสีเทา แต่ผู้บังคับใช้กฎหมายเอาผิด ขาใหญ่พี่ใหญ่ใน พปชร.ไม่ได้
สุดท้าย พลเอกประยุทธ์ก็แยกตัวมาอยู่กับพรรคใหม่“รวมไทยสร้างชาติ=รทสช.โดยให้ นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค ที่ดึงตัวมาจากปชป.ก่อนหน้าเป็นหัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ เป็นสารตั้งต้น สส.ปชป.หลายรายก็เฮละโลตามเข้ามาอาศัยบารมีลุงตู่ ผู้มีชื่อเสียงบารมีและเป็นที่นิยมเครื่องล่อใจอดีต สส.ปชป.ตลอดถึงคำสัญญาว่า จะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีและ นี่คือแผนการทำลาย ปชป.ครั้งที่สาม และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของพลเอกประยุทธ์
เมื่อพูดถึงปชป.แล้ว จะไม่พูดถึงพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลผสมชุดใหม่ต่อจากลุงตู่ก็ไม่ได้ว่าพลเอกประยุทธ์ปฏิบัติต่อพรรคเพื่อไทยอย่างไรลุงตู่ ดูเหมือนว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกับเจ้าของพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนเริ่มสงสัยตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีออกจากประเทศไทยในวันที่ศาลตัดสินคดีรับจำข้าวแล้ว คนไทยจำนวนมากสงสัยว่า คนในรัฐบาลลุงตู่ รู้เห็นเป็นใจหรือไม่? เพราะมีนายตำรวจระดับผู้กำกับขับรถไปส่งถึงด่านชายแดนและรถที่ยิ่งลักษณ์โดยสารไปผ่านด่านความมั่นคงไปได้หลายด่านอย่างน่าสงสัย
นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความคลางแคลงใจและมีข่าวลือว่าลุงตู่มีข้อตกลงบางอย่างกับเจ้าของพรรคเพื่อไทยโดยผ่านการแนะนำของคนในรัฐบาลที่เคยรับใช้เจ้าของพรรคเพื่อไทย แต่คนส่วนใหญ่มองข้ามสิ่งนั้นไป เพราะลุงตู่มุ่งมั่นพัฒนาให้ประเทศไทยก้าวหน้ามากมายหลายโครงการชนิดที่เรียกว่าชื่นชมกันเจ็ดวันไม่หมด
แต่หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ที่ผลออกมาพบว่า พรรครวมไทยสร้างชาติกับพรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้ ต่อพรรคก้าวไกล อย่างไม่คาดหมาย รัฐนาวาลุงตู่ ก็เริ่มเอียง และคว่ำลงเมื่อถึงท่าและตรงกับคำพังเพยที่ “เรือล่มเมื่อจอด” จริงๆ เพราะมีข่าวลือก่อนหน้าว่า คนในรัฐบาลลุงตู่ ได้ทำข้อตกลงลับๆ กับเจ้าของพรรคเพื่อไทยว่าหาก รทสช.กับพปชร.ได้ร่วมรัฐบาล น.ช.ทักษิณที่หนีคุกอยู่ต่างประเทศกว่าสิบห้าปี จะได้กลับประเทศโดยไม่ติดคุก และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง นี่คือสาเหตุทำให้ลุงตู่ที่เป็นคนดีตลอดเวลาเป็นรัฐบาล ถูกตำหนิวิจารณ์ด่าว่า ราวกับเป็นทรชน ตัวอย่างเช่นคุณสมเกียรติศรีรักษาสินธุ โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า
...“ปัญหาของทักษิณกับคนไทยในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องการได้รับพระราชทานอภัย “ลดโทษ” โปรดอย่าหลงประเด็นปัญหาของทักษิณก็คือมันไม่ได้ติดคุกจริงเลยแม้แต่วันเดียว แล้วรัฐบาลประยุทธ์เป็นธุระจัดหาไปขอพระราชทานอภัย “ลดโทษ” ให้มันอ้างคุณงามความดีของมัน ทั้งที่มันทำร้ายทำลายประเทศไทยจนฉิบหายเป็นล้านๆ บาท ประยุทธ์อยู่มา 9 ปี ยังใช้หนี้ให้การโกงกินของระบอบทักษิณไม่หมด มันไม่ได้ติดคุกเลยแม้แต่ชั่วโมงเดียว แล้วจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”
ยังมีคนอีกมากมายตำหนิด่าว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์หยาบคายเสียๆ หายๆ ที่ไม่สามารถนำมาให้อ่านได้ ส่วนบทความของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ นักวิชาการผู้เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พยายามแสดงเหตุผลให้พสกนิกรไทยเข้าใจว่า...
...“ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อพระบรมราชโองการ
ก่อนอื่น ต้องบอกว่า ผมเคารพพระบรมราชโองการอภัยโทษนายทักษิณ ในฐานะกลไกของระบบและเข้าใจหลักการที่ถูกต้องในระบอบประชาธิปไตย ด้วยว่า ทุกอย่างมาจากฝ่ายการเมืองทั้งนั้นเนื่องจากทรงเป็นพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจเด็ดขาดจริงๆ มีน้อยมาก มีแต่ในราชการส่วนพระองค์เท่านั้น ส่วนราชการทั่วไปล้วนแต่เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองทั้งสิ้นอันเป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่สำคัญมาก ทุกคนควรทราบจริงๆ
เมื่อการพระราชทานอภัยโทษนายทักษิณ ไม่ใช่ราชการส่วนพระองค์ ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นเรื่องของส่วนราชการทั่วไป นับตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการจำนวนมาก และต้องผ่านขั้นตอนของกระบวนการพิจารณาในอีกหลายขั้นตอน โดยหลักการก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าทางรัฐบาลเป็นผู้ถวายฎีกาพร้อมกับคำแนะนำเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับนายทักษิณ ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองโดยแท้
ส่วนการมีพระบรมราชวินิจฉัยก็อยู่บนพื้นฐานของหลักการเดียวกัน หากเป็นราชการในพระองค์ก็จะมีพระราชอำนาจที่เป็นสิทธิ์ขาดอย่างแท้จริงเป็นพระบรมราชวินิจฉัยส่วนพระองค์โดยตรง จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่เมื่อเป็นราชการทั่วไป ก็อยู่นอกเหนือพระราชอำนาจที่เป็นสิทธิ์ขาด พระบรมราชวินิจฉัยมักดำเนินตามคำแนะนำของรัฐบาลที่มาพร้อมกับฎีกาเป็นเสมอ เป็นที่มาของการมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ประเด็นต่อมา หากถามว่าทรงเห็นแย้งได้บ้างหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าได้ แต่ทว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย จะไม่ทรงใช้พระราชอำนาจในการเห็นแย้งแบบพร่ำเพรื่อ จะทรงใช้แต่เฉพาะเท่าที่จำเป็นในยามวิกฤตเท่านั้น โดยอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ตอกย้ำ ความเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่เคารพรัฐธรรมนูญเฉกเช่นนานาอารยประเทศ หาได้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญตามการบิดเบือนให้ร้ายแต่ประการใด
ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบัน หากแต่เป็นฝ่ายการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ นับตั้งแต่ ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งไม่ต่างจากผู้ดำเนินการที่แท้จริงเช่นเดียวกับพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ที่มีประธานรัฐสภาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว ก็จะมองเห็นปัญหาได้ชัดเจน ส่วนแรก มาจากการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง ส่วนที่สอง มาจากการขาดความเข้าใจ ปัญหาความเข้าใจผิดต่อสถาบันในทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยในประเทศนอร์เวย์ที่เป็นประชาธิปไตยอันดับหนึ่งของโลก สหราชอาณาจักร ที่เป็นต้นตำรับของระบอบการปกครอง เพราะประชาชนของเขามีความรู้ความเข้าใจในหลักการที่ถูกต้อง ตลอดจนสามารถแยกแยะปัญหาได้ด้วยตนเอง
ฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการมโนแบบผิดๆ แทนที่จะอธิบายด้วยหลักการที่ถูกต้องเพื่อปกป้องสถาบันจากความขัดแย้งทางการเมือง แต่กลับดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง เชื่อมโยงไปต่างๆ นานา แถมยังบีบฝ่ายเดียวกันให้ยอมรับในนิทานที่พิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งมีแต่จะยิ่งระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอีกด้วย เมื่อลองคิดในมุมกลับ มันจะไม่ยิ่งเปิดช่องให้อีกฝ่ายโจมตีสถาบันหรอกหรือ? ตกลงปกป้องสถาบันหรือปกป้องใครกันแน่?”
นั่นเป็นตัวอย่างจากผู้จงรักภักดีสองท่านที่ระบายความในใจ ไม่พอใจต่อรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองที่ทำให้นักโทษหนีคุกกลายเป็นเทวดามาเสวยสุขอยู่ในห้องรอแยลสวีท โรงพยาบาลตำรวจ แม้ในหลวงพระราชทานอภัยลดโทษให้เหลือจำคุกเพียงหนึ่งปีแล้วก็ตาม น.ช.ทักษิณยังไม่เข้าคุกจริง
กรณีนี้จึงถือได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เปรียบเหมือน เรือล่มเมื่อจอดและมันจะจมดิ่งลงไปใต้โคลน หากน.ช.ทักษิณ ไม่ได้เข้าคุกเป็นนักโทษจริงคนที่เสนอเรื่องต่อลุงตู่และเป็นธุระเขียนฎีกาให้นักโทษจะได้รับกรรมจากคำสาปแช่งของประชาชนจนวันตาย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี