การเดินทางไปร่วมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 78 ของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ไม่ปังดังที่เคยประกาศว่า Thailandis back ฟังจากการแถลงข่าวของ นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลป้ายแดงที่เคยพูดว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์เลยทำให้ดูเหมือนว่า Thailand is back trak เสียมากกว่า
การเดินทางไปนิวยอร์กตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 24 กันยายน นายกฯเศรษฐา ลงทุนเช่าเหมาลำเครื่องบินไปกับคณะ 50 คนในราคา 30 ล้านบาท บอกได้ว่า ไม่คุ้มค่าถึงแม้มีตังค์คงอ้างว่าออกค่าเดินทางเองบ้างก็ตาม แต่ไม่สมกับที่รองเลขาฯแถลงที่ทำเนียบรัฐบาลว่านายกรัฐมนตรีเป็นแขกของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ดังนั้น การเดินทางต้องกระชับเพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในฐานะแขกประธานาธิบดี โจ ไบเดน แต่วันที่นายกฯเศรษฐามีหมายปราศรัยในสมัชชาสหประชาชาติ เห็นภาพนายกรัฐมนตรีไทย เดินข้ามทางม้าลายและเดินบนฟุตปาธถนนกับผู้ติดตามประมาณสิบคน ไม่เห็นคนไหนหัวแดงหน้าขึงขัง เหมือนฝรั่งรักษาความปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรี แถมมีบรรยายภาพว่า นายเศรษฐาหงุดหงิดว่า รถติดมากเลยตัดสินใจเดินจากโรงแรมที่พักไปประชุม
แต่พิเคราะห์จากภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าเป็นการจงใจสร้างคอนเทนต์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ติดตามคณะไปมากกว่า การสร้างภาพแบบนั้นมันทำให้นายกฯดูไม่สง่างามไม่สมกับที่เป็นแขกประธานาธิบดี
โฆษกรัฐบาลแถลงกับผู้สื่อข่าวว่านายกฯเศรษฐาได้กระทบไหล่ ประธานาธิบดีไบเดน และสตรีหมายเลขหนึ่ง ในงานเลี้ยงรับรองผู้นำจากต่างประเทศ โฆษกรัฏฐาธิปัตย์ คงไม่เข้าใจว่า การเลี้ยงรับรองแบบนั้นเขาทำตามมารยาทเจ้าของบ้านที่เลี้ยงรับรองผู้นำทั่วไป เนื่องจากว่ายูเอ็น ตั้งอยู่ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ไม่ได้เลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรีไทยเป็นส่วนตัว
ดังนั้นหากจะคุยว่านายกฯเศรษฐา กระทบไหล่ไบเดน คนทำประชาสัมพันธ์ต้องพยายามหาภาพที่ผู้นำไทยสัมผัสมือกับนายไบเดนหรือภาพที่นายเศรษฐากำลังพูดจาโอภาปราศรัยกับผู้นำจากประเทศอื่นๆ ในงานเลี้ยงรับรอง นี่ก็อีกประเด็นหนึ่งที่แสดงว่าโฆษกรัฏฐาธิปัตย์ ยังไม่เข้าใจคำว่า “หนึ่งภาพแทนคำพูดพันคำ” หากนำภาพนายกรัฐมนตรีไทยจับมือกับนายไบเดน มาอวดได้ฝ่ายประชาสัมพันธ์คงไม่ต้องจัดให้นายกฯเดินจากโรงแรมไปประชุม
ผู้เขียนเข้าใจว่ารัฐบาลนายเศรษฐาไม่ได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศดีเท่าที่ควร ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมยูเอ็นครั้งนี้ การพบปะเจรจาทวิภาคี จึงไม่มีอะไรน่าสนใจ จากการแถลงของโฆษกรัฏฐาธิปัตย์ว่าการพบหารือระดับทวิภาคีกับผู้นำ และบุคคลสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เลขาธิการสหประชาชาติ และประธาน FIFA ซึ่งจะตรงกับความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีที่จะพัฒนาการฟุตบอลไทยให้มีโอกาสมากขึ้นในเวทีโลก
เดินทางไปนิวยอร์กทั้งทีได้เจรจาทวิภาคีกับเวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีใต้ และประธาน FIFAที่โฆษกกล่าวว่าตรงกับความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีที่จะพัฒนาฟุตบอลไทยให้มีโอกาสมากขึ้นในเวทีโลก โฆษกรัฏฐาธิปัตย์พูดออกมาได้ไม่เกรงใจ “มาดามแป้ง” เลยสักนิดเดียว ส่วนการพบกับ นายกฯเวียดนาม นายกฯมาเลเซียมันเป็นประเพณีของอาเซียนที่ผู้นำคนใหม่ต้องไปพบปะแนะนำตัวกับผู้นำสมาชิกประเทศอาเซียนในฐานะน้องใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตีฆ้องร้องป่าว
ส่วนเป้าหมายสำคัญในการเจรจาทวิภาคีนอกกรอบประชุมยูเอ็นครั้งนี้ที่#นายกไทยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเจรจากับนายกฯเยอรมนี ในประเด็นปัญหาหารือเรื่องเครื่องยนต์ติดตั้งในเรือดำน้ำที่ไทยซื้อจากจีน ตามข้อตกลงในสัญญาว่า เรือดำน้ำไทยสั่งซื้อจากจีนนั้นต้องติดตั้งเครื่องยนต์ผลิตในเยอรมนี แต่พอเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นคู่สงครามพันทางตัวจริงกับรัสเซียกดดันไม่ให้เยอรมนีขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้จีน
นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวก่อนหน้านี้ว่า “มีแนวโน้มที่เยอรมันจะขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้มีความเป็นไปได้สูง เมื่อนายกฯเศรษฐาได้พบปะเจรจากับนายกรัฐมนตรีเยอรมันระหว่างการประชุมที่ประชุมสหประชาชาติ” แต่การแถลงข่าวของโฆษกรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ได้พูดถึงว่านายเศรษฐาได้พบปะเจรจาหรือแม้แต่ได้กระทบไหล่นายกฯเยอรมนีหรือไม่ ตามความเข้าใจของผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลนายเศรษฐาไม่ได้แจ้งจุดประสงค์ให้กระทรวงการต่างประเทศเข้าใจว่ามีเป้าหมายจะเจรจาทวิภาคีกับใครและประเด็นจะหารือเรื่องอะไร กระทรวงการต่างประเทศจึงจัดการให้เฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ประจำ
ส่วนเนื้อหาในคำปราศรัยก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเพราะส่วนใหญ่เน้นความร่วมมือกับสหประชาชาติ ในความร่วมมือการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้มีการตกลงกันในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ผ่านมา (สมัยที่ 77) แล้วนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประจำปี ค.ศ. 2023 (Sustainable Development Goals (SDG) Summit 2023) ว่า
ความร่วมมือของทุกประเทศในการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติ ได้เผชิญกับความท้าทายร่วมกันมาถึงในช่วงครึ่งทางของวาระดังกล่าวและในทศวรรษนี้ ซึ่งสหประชาชาติได้กำหนดให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการลงมือทำ (Decade of Action)
ไทยสนับสนุนข้อเรียกร้องของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Stimulus) เป็นจำนวนเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จนถึงปี ค.ศ. 2030...บลา บลา บลา
คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีไทยก็เหมือนกับผู้นำจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติอื่นๆ ที่พูดพอเป็นพิธีไม่ได้มีเป้าหมายที่นำมาปฏิบัติในระยะเวลาห้าปีหกปีได้ คือพูดไปงั้นๆ เพื่อแสดงโวหารเหมือนกับที่ฝรั่งพูดกันติดปากว่าการปราศรัยที่ประชุมสหประชาชาติมันเป็นแค่ Lips Service เท่านั้น
โฆษกรัฏฐาธิปัตย์แถลงต่อไปว่าอย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีมองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง...
1.ไทยประกาศความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leave no one behind) ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รั้งท้ายก่อนรวมทั้งลดความยากจนในคนทุกช่วงวัยภายในปี ค.ศ. 2027***ข้อ 1 ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าก๊อบปี้ลุงตู่มาทั้งดุ้น*
2.ไทยประกาศความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศสำหรับประชากรทุกคนในประเทศ รวมถึงให้ความสำคัญกับสิทธิ ด้านสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยมีมาตรการที่สำคัญๆ เช่นการตั้งเป้าหมายที่จะให้ครัวเรือนที่ต้องกลายเป็นครัวเรือนที่ยากจนหลังจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล (Health impoverishment) ต้องมีจำนวนลดลงไม่เกินร้อยละ 0.25 ภายในปี ค.ศ.2027 ***ข้อสองมีความแตกต่างจากลุงตู่แต่บังเอิญไปตรงกับพรรคก้าวไกลในส่วนที่ว่า**ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศสำหรับประชากรทุกคนในประเทศไทย**
นอกจากนั้นไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรือไม่มีอะไรโดดเด่นที่ทำให้เห็นว่าประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่ในเวทีสากลอีกครั้งจึงพูดได้ว่าการเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งนี้ ผู้แทนจากประเทศไทยต้องไม่ใช้คำว่า Thailand is back แต่น่าจะเหมาะกว่าถ้าจะพูดว่าผู้แทนจากประเทศไทย ทำให้ดูเหมือนว่า เราจะ Backtrack เสียมากกว่า
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี