อิสราเอลกับสหรัฐอเมริกา มีพฤติกรรมโอหังดื้อรั้น เหมือนที่อ้างข้อมูลข่าวกรองบังหน้าเพื่อละเมิดหลักมนุษยธรรม และกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ที่ใช้กำลังทหาร บุกโรงพยาบาลและแปลงสถานที่ดูแลรักษาคนไข้ให้เป็นสนามรบ
ปี 2535 สหรัฐอเมริกาอ้างข้อมูลสำนักงานข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ ว่า ซัดดัม ฮุสเซ็น แห่งอิรักสะสม “อาวุธทำลายล้างสูง” (Weapons of Mass Destruction หรือ WMD) อาวุธเคมี ชีวภาพ นิวเคลียร์ ไว้จำนวนมาก ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จูเนียร์ ไม่มีคำปฏิเสธและเสียงทัดทานจากรัฐบาลอิรัก สั่งทหารสหรัฐถล่มประเทศอิรัก พินาศวอดวายมีคนตายไปรวมกันกว่าหนึ่งล้านคนทำประเทศอิรักวอดวายแล้วสหรัฐกับอังกฤษที่ร่วมทำสงครามรุกรานล้างผลาญ ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่า อิรักมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง
เมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถามว่า “ข่าวกรองผิดพลาดใช่ไหม” ลูอิส รูดา หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการอิรักของซีไอเอ พูดว่า “อิรักมีเพียงหนังสติ๊กหรือที่คีบกระดาษ เราก็ยังบุกอิรักอยู่ดี”
อิสราเอล อ้างข้อมูลข่าวกรองว่า โรงพยาบาลอัล-ชีฟ่าเป็นฐานปฏิบัติการใหญ่ของฮามาสและตัวประกันหลายร้อยคนถูกขังอยู่ที่นั่น กลางดึกของคืนวันที่ 15 พฤศจิกายน หน่วยคอมมานโดอิสราเอลบุกยึดโรงพยาบาลอัล-ชีฟ่า โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา ที่มีคนป่วยและพลเรือนหลายพันคนหลบภัยอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล
ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในโรงพยาบาลคืนนั้น บอกผู้สื่อข่าวบีบีซีว่าคอมมานโดอิสราเอล ประมาณหนึ่งร้อยคน รถถัง6 คัน ทหารอิสราเอล บุกเข้าไปในแผนกฉุกเฉินแล้วตะโกนว่า“อย่าขยับ”
เขาเล่าต่อว่า จากนั้นทหารอิสราเอลก็เดินเข้าไปตรวจทีละห้องทีละชั้น พร้อมกับสอบถามทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและผู้ป่วย โดยมีแพทย์และล่ามภาษาอารบิกขนาบข้างไปด้วยขณะเดียวกัน ทหารก็ประกาศผ่านโทรโข่งบอกให้ผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 16-40 ปี ออกไปยังลานกว้างด้านนอกโรงพยาบาล ยกเว้นผู้ที่อยู่ในแผนกศัลยกรรมและแผนกฉุกเฉิน
แต่ดูเหมือนว่า ยังมีคนบางส่วนยังอยู่ในโรงพยาบาล เขาเล่าต่อว่า ทหารจึงยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อแจ้งให้ผู้ที่ยังอยู่ภายในตึกทราบว่า ต้องออกมาข้างนอก หลังจากนั้น กองทัพอิสราเอลได้ติดตั้งอุปกรณ์สแกนและเซ็นเซอร์และบอกให้กลุ่มผู้ชายเดินผ่านเพื่อตรวจหาสิ่งที่คาดว่า จะเป็นอาวุธ
ทหารอิสราเอล ตรวจค้นโรงพยาบาล ที่มีคนป่วยหมอพยาบาลอยู่ประมาณ 700 คน และพลเรือนปาเลสไตน์เข้ามาหลบภัยอยู่บริเวณโรงพยาบาลประมาณ 3,000 คน หลังตรวจค้นนานกว่าสิบชั่วโมง ทหารอิสราเอลแถลงว่า พบร่องรอยว่าฮามาสใช้โรงพยาบาลเป็นกองบัญชาการใหญ่แต่เปิดรายละเอียดไม่ได้
การบุกเข้าไปในโรงพยาบาลครั้งนี้ มีขึ้นไม่นาน หลังจากที่สหรัฐฯ ออกมากล่าวสนับสนุนคำกล่าวอ้างของอิสราเอลว่ามีโครงสร้างอุโมงค์อยู่ใต้โรงพยาบาลอัล-ชีฟา สหรัฐฯยังเชื่อด้วยว่าโรงพยาบาลและอุโมงค์ใต้โรงพยาบาล ถูกใช้ในปฏิบัติการทางทหารของฮามาส และยังเป็นจุดควบคุมตัวประกันด้วย
การค้นหาฮามาสและตัวประกันวันแรกคว้าน้ำเหลวไม่เป็นท่า แต่อิสราเอลยังอุตส่าห์นำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่อ้างว่ายึดได้จากโรงพยาบาลอัล-ชีฟ่า มาแสดงในการแถลงข่าว และยืนยันจะค้นหาฮามาสและตัวประกันในเครือข่ายอุโมงค์ใต้โรงพยาบาลต่อไป โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากเลขาธิการสหประชาชาติและประชาคมนานาชาติ และผู้อำนวยการโรงพยาบาล
18 พฤศจิกายน สามวันหลังบุกยึดค้นโรงพยาบาลกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล (IDF) แถลงว่าได้พบร่องรอยฮามาสและตัวประกัน จากเครื่องคอมพิวเตอร์ (Laptops) ของโรงพยาบาลที่มีข้อมูลภาพของ Ori Macadish ตัวประกันทหารหญิงอิสราเอลที่ IDF ช่วยเหลือออกมา “ภาพของ Ori มีอยู่ Laptops ของโรงพยาบาลเป็นที่ยืนยันว่าฮามาสใช้โรงพยาบาลเป็นฐานปฏิบัติการ” IDF แถลงข่าวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการค้นโรงพยาบาลต่อไป ซึ่งเหมือนกับกองทัพสหรัฐที่ไม่พบอาวุธทำลายล้างสูงในอิรัก แต่ยังเดินหน้าทำลายล้างจนประเทศอิรักวอดวายและสังหาร ซัดดัม ฮุสเซ็น
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ว่าฮามาสเรียกร้องให้หยุดคุกคามโรงพยาบาลและให้อิสราเอลหยุดส่งโดรนการบินที่สำรวจเหนือกาซา เพื่อความเป็นไปได้ในการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกัน แต่ถูก IDF ปฏิเสธทันควัน โดยกล่าวว่า “โดรนตรวจการณ์สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฮามาสได้”
แหล่งข่าวในเมืองจาฟฟา ทางเหนือของอิสราเอล บอกกับแนวหน้าว่า จะพบฮามาสและตัวประกันหรือไม่อิสราเอล ก็ใช้โรงพยาบาลเป็นสนามรบต่อไป แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า หลังจาก IDF บุกโรงพยาบาลหนึ่งวัน เธอได้ดูวีดีโอที่ทหารค้นโรงพยาบาลซึ่งมีภาพอุโมงค์ใหญ่และห้องใต้ดินที่เชื่อว่าฮามาสกักขังตัวประกันไว้ “ภาพที่เห็นในวีดีโอเชื่อว่าอุโมงค์อยู่ใต้โรงพยาบาลและมีห้องที่ขังตัวประกันอยู่ในอุโมงค์นั้นจริง แต่ฉันแปลกใจที่ทำไมไม่มีตัวประกันในห้องนั้น”
แหล่งข่าวบอกแนวหน้าด้วยว่า คนในประเทศอิสราเอลรู้เรื่องการสู้รบน้อยมากเนื่องจาก IDF แถลงเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการพูดเท่านั้น แต่ฐานะเป็นอดีตนักข่าวสงครามเธอประเมินสถานการณ์ว่า
“ฉันคิดว่า อิสราเอลถล่มรุนแรงต่อไปจนสามารถทำลายเครือข่ายฮามาสได้ 50% ก่อนจะประกาศชัยชนะ แต่หลังจากนั้น “บูมเมอแรง”จะย้อนเข้าหา เนทันยาฮูและเครือข่ายขวาสุดโต่งคลั่งลัทธิเหยียดเชื้อชาติของเขา เนทันยาฮู เป็นรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ และคอร์รัปชั่น..” แหล่งข่าวเชื่อว่าหลังจากเสียงปืนสงบจะมีประท้วงรายวัน มีการสอบสวนเนทันยาฮูและเขาจะสู้ด้วยอย่างน่าเกลียดเพื่อรักษาอำนาจของเขาไว้เหมือนนายทรัมป์..
“เป็นเรื่องน่าเกลียดมาก เวลานี้มีคนจำนวนมากได้รับแจกอาวุธปืนจากโครงการที่เรียกกันว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยชุมชน” แหล่งข่าวกล่าวราวกับจะเปรียบเทียบกับผู้สนับสนุนขวาจัด หรือ White Supremecy ที่สนับสนุน อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บุกสภาสหรัฐ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 เพื่อกดดันไม่ให้สภารับรองชัยชนะของ นายโจ ไบเดน จนเกิดจลาจลวุ่นวายมีคนตาย 5 ศพ
“ฉันหวังว่าประชาชนขับไล่ BiBi (เนทันยาฮู)ออกไปและรัฐบาลใหม่จัดตั้งขึ้นมา” เธอกล่าวเสริมว่า สหรัฐฯต้องให้การช่วยเหลืออิสราเอลอีกมาก และร่วมมือกันทำงานหนักในความพยายามจัดตั้งหน่วยงานใหญ่ขึ้นมาเพื่อหาข้อสรุปสองรัฐ หรือ Two States Solution “ซึ่งเป็นงานยากมากไม่รู้ว่าในชีวิตฉันได้เห็นข้อสรุปสองรัฐหรือไม่” แหล่งข่าวกล่าว
มีความพยายามหลายครั้งจากหลายชาติที่จะเป็นตัวกลาง เพื่อหาข้อยุติสองรัฐ (two-state solution) อันเกี่ยวข้องกับการสถาปนารัฐปาเลสไตน์เอกราช ขึ้นคู่กับรัฐอิสราเอล หลังการสถาปนาอิสราเอลในปี 2491 ในปี 2550 ตามการหยั่งเสียงจำนวนหนึ่ง ทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ เห็นชอบแก้ทางสองรัฐเป็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งมากกว่าทางแก้อื่น แต่จนบัดนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะสถาปนารัฐปาเลสไตน์ได้ และแหล่งข่าวกล่าวว่า “เมื่อไม่มีรัฐบาลขวาสุดโต่งเหยียดเชื้อชาติ ความพยายามหาข้อยุติสองรัฐ อาจเป็นไปได้”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี