นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินหน้ากฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง ด้วยการยื่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลผู้ซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ... เพื่อบรรจุเข้าสู่การพิจารณาโดยสภาฯ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า การใช้กระบวนการทางสภาฯ จะเป็นแนวทางที่ดีกว่าการใช้อำนาจบริหารเพียงอย่างเดียว โดยให้มีผลย้อนไปตั้งแต่ ก.พ. 2549 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกสี ยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิด หรือเรียกว่า “ถอนฟืนจากไฟยุตินิติสงคราม”
1) คำว่า “นิติสงคราม” เป็น “วาทกรรม” ที่พรรคก้าวไกลประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเอาใจ “แฟนด้อม” ที่จำนวนหนึ่ง “ทำผิดกฎหมาย” แล้วถูกดำเนินคดี เป็นวิธี “หาคะแนน” ของเขา ไม่ต่างจากการเอาตำแหน่ง สส. ไปประกันตัว เหมือนใส่ใจ ห่วงใย แต่กระบวนการต้นทางคือ การไม่ให้สติ ไม่ให้ปัญญา ที่ถูกต้องว่า การกระทำแบบไหนที่ทำได้ การกระทำแบบไหนที่มีโอกาสจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่โยนความผิดไปให้ “การบังคับใช้กฎหมาย” ว่าเป็น “นิติสงคราม” พูดง่ายๆ ว่า เอากฎหมายมาเล่นงานผู้เห็นต่างทางการเมืองนั่นเอง
2) เมื่อเกิดความเคลื่อนไหวนี้ สิ่งที่คนทั่วไปมีคำถามคือ จะนิรโทษกรรมอะไร จะรวมถึงคดีที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เป็นการ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์ด้วยหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอมาคือ สส.ของพรรคก้าวไกลเอง และผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล มีคดีนี้ติดตัว 3) ม.112 ไม่ใช่ “นิติสงคราม” และไม่ใช่ “การเอากฎหมายมาปิดปาก” หรือ “ปิดกั้นเสรีภาพทางการพูด” แน่ๆ เนื่องจากบทบัญญัติของกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่3 ปีถึง 15 ปี” แต่พรรคก้าวไกลและเครือข่าย ก็มักจะออกอาการ “หย่อนปัญญา” หรือ “อับปัญญา” ต่อพฤติกรรม ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายเสมอมา
4) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตอบโต้นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า เดินสายคุยนิรโทษกรรมมีประโยชน์แอบแฝงว่า ในความเป็นจริงคนที่จะได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมไม่จำกัดอยู่แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนที่เข้าเงื่อนไขล้วนมีสิทธิ์ได้รับการนิรโทษกรรม แม้แต่คนของพรรคเพื่อไทยเอง ที่วันนี้ หลายคนไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนคนชั้น 14 หลายคนถูกดำเนินคดีกลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งน่าเสียดายที่เรายังไม่เคยได้เห็นพรรคเพื่อไทยเองออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง หรือ
เรียกร้องความเป็นธรรมให้คนเหล่านี้
“มีคนเดียวที่เหมือนจะได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด คือ คนที่อยู่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ การนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลเป็นการเลือกปฏิบัติตรงไหน ผลของกฎหมายนี้ ถ้าผลักดันสำเร็จ คือ การคืนความเป็นธรรมให้คนรุ่นใหม่ คนเสื้อแดง ผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยทั้งหมด ไม่เหมือนการเลือกปฏิบัติให้อดีตนายกรัฐมนตรี หรือการเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเสียหน่อย” นายรังสิมันต์กล่าว
5) วันเดียวกัน พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “หลังจากมีภาพและข่าวว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลและเลขาฯ รวมผู้ช่วย ตามมาขอพบเพื่อเจรจาการเมือง พวกด้อมส้มก็พากันดิ้น ออกมาคอมเมนต์ ตำหนิ ติด่าพุทธะอิสระและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประมาณว่าหัวหน้าพรรคเปลี่ยนไป จะหันมาญาติดีกับพวกสลิ่มแล้วหรือ ทำอะไรได้ถามกรรมการบริหารพรรคหรือยัง ทำอะไรโดยพลการ ทำให้เสียภาพอุดมการณ์ของประชาธิปไตยอย่างพวกเราหมด”
“ฉันได้ฟัง ได้อ่านคอมเมนต์ของพวกด้อมส้มแล้ว คนพวกนี้ปากก็พร่ำบ่นเอาแต่คำว่าประชาธิปไตย อ้างแต่สิทธิ แต่ไม่เคยยอมรับหรือเคารพผู้เห็นต่างใดๆ เลย วิธีคิดแบบนี้ล่ะหรือ ที่เรียกตนเองว่านักประชาธิปไตย หากพวกคุณคิดว่าเป็นนักประชาธิปไตยกันมากนัก”
พุทธะอิสระฝากถามกลับไปว่า “นักโทษชายนายทักษิณได้นอนอยู่บนชั้น 14 อย่างสบาย ทั้งที่มีคดีคดโกงชาติ พวกคุณกลับเงียบกริบอย่างกับอมสากอยู่อย่างนี้น่ะหรือ นี่คือหลักคิดของนักประชาธิปไตย พวกคุณเคยคิดถึงหัวอกของนักโทษคนอื่นๆ อีก 3 แสนกว่าคน ที่ต้องนอนเบียดกันอยู่ในคุกอย่างทุกข์ทรมานกันบ้างไหม นี่น่ะหรือนักประชาธิปไตย นักเรียกร้องสิทธิ์ หรือนักโทษเหล่านั้นเขาไม่มีสิทธิ์กระนั้นซิ ทุเรศสิ้นดี”
พุทธะอิสระระบุด้วยว่า เป็นเพราะคนพรรคก้าวไกลมีคดี 112 อยู่มากมายดังกล่าว เจ้าของพรรคและหัวหน้าพรรคเฉพาะกิจจึงร้อนรนอยากหาคนสนับสนุนให้ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม โดยเฉพาะมาตรา 112 ต้องนิรโทษให้ได้ เพราะกลัวเจ้าของพรรคและบริวารติดคุก จึงต้องบากหน้ามาหาพุทธะอิสระ
“ขอเตือนว่าหากยังทำปากกล้าขาสั่น เข้ามาคอมเมนต์ด่าพุทธะอิสระอยู่อีก จะนำหลักฐานเด็ดที่ออกมาจากปากหัวหน้าพรรคก้าวไกลเอง ไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำสั่งให้ไต่สวนพยานบุคคล ในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 เวลา 09.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ขอย้ำว่าคนอย่างพุทธะอิสระพูดจริงทำจริงเสมอ” พุทธะอิสระระบุ
6) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า
“หลักการอยู่ที่มีคนเห็นต่างหรือไม่ ตนได้ยินว่า ที่ไปหาใครบางคน ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่าง แสดงว่าต้องทำให้เป็นฉันทามติร่วมกัน อะไรที่เห็นร่วมกันหมด แก้ได้ทั้งนั้น แต่ที่ยังเห็นไม่เหมือนกัน ถ้าดูจะเป็นประเด็นที่มันจะบานปลาย ก็ไม่ควรจะเริ่มจุดไฟใหม่ขึ้นมา”
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการพาดพิงถึง บุคคลที่อยู่ชั้น 14 อาจจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย นายภูมิธรรม ย้อนถามว่า ชั้น 14 ที่ไหน ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า หมายถึง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย นายภูมิธรรม ทำหน้า งงแล้วกล่าวต่อว่า “ท่านทักษิณอยู่ ชั้น 14 หรอ ผมไม่ทราบคุณพูดถึงอะไร” พร้อมกล่าวต่อว่า ตนว่าเรื่องนี้เป็นหลักการ ไม่ต้องไปดูคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร ถ้าหลักการนี้ผ่านความเห็นชอบของคนที่เกี่ยวข้องทุกคน ก็เอาตามหลัก ถ้าหลักไปได้ แล้วไม่สร้างความขัดแย้งใหม่ ก็ได้ทั้งหมด แต่ถ้าหลักไปไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่อยากเห็นสังคมไทยจมปลักอยู่กับความขัดแย้ง จนกลายเป็นอุปสรรคของการที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอบคำถามสื่อที่ถามว่า นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่า ร่างของพรรคก้าวไกล ทุกคนจะได้รับสิทธิหมด เพราะวันนี้หลายคนไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนคนที่อยู่ชั้น 14 นายประเสริฐ กล่าวว่า จริงๆ ไม่อยากให้พาดพิงถึงคนที่อยู่ชั้น 14 เพราะเรื่องของท่านสิ่งที่ได้รับเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย ทุกอย่างเหมือนคนอื่น ไม่ได้มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอยากส่งสัญญาณไปว่าอย่าให้เป็นประเด็นทางการเมืองมาก เพราะตอนนี้บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นเรื่องสำคัญที่เราทำอยู่ ขออย่าเล่นการเมืองจนเกินไป
7) นายชัยธวัช ตุลาธน บอกกับ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ตอนหนึ่งว่า บังเอิญว่ากลุ่มเยาวชน หรือกลุ่มรุ่นใหม่ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2563-2565 อาจสนับสนุนก้าวไกล อาจมองอย่างนั้น และอาจรวมถึง สส.พรรคก้าวไกลก็มีคดี 112 หลายคน แต่ สส. โดนก่อนหน้านี้ไม่ใช่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สส. ต้องทรีตเขาเป็นประชาชนคนหนึ่ง จริงๆ แล้วหลายคนอาจหมายถึง แกนนำพรรค เช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่โดนคดี ม.112 ซึ่งวันก่อนไปเจอพุทธอิสระ แกก็ถามเรื่องนี้ ผมก็ตอบว่าในร่างกฎหมายเรามีอยู่ช่องหนึ่งด้วย ที่ใครก็ตามที่ไม่ประสงค์รับสิทธิพิจารณานิรโทษ สามารถยื่นเรื่องต่อกรรมการที่เราตั้งได้เป็นการส่วนตัว ยืนยันกับพุทธะอิสระ เชื่อว่าคุณธนาธรจะมายื่น ไม่ขอรับการพิจารณาเรื่องนี้
“เราเคยแลกเปลี่ยนกันอยู่ และเชื่อว่าคุณธนาธรและแกนนำอนาคตใหม่ที่โดนคดีการเมืองจะมายื่นขอไม่ใช้สิทธิ หรือสละสิทธิ์เพื่อเข้าสู่การพิจารณานิรโทษกรรมผมก็คุยกับพุทธะอิสระว่าเชื่อว่าคุณธนาธรจะไม่ขอรับสิทธินี้ ท่านยังตั้งคำถามว่ากล้าหาญขนาดนั้นเชียวเหรอ” หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุ
สรุป : การออกมายอมรับว่าเคยไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ,กับการป่วย การได้นอนโรงพยาบาล แบบไม่มีใครตรวจสอบได้ และแม้แต่พรรคใหญ่ฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกลยังไม่ตรวจสอบ ล้วนทำให้ “คนที่อยู่ชั้น 14” กลายเป็น “เงื่อนปม” สำคัญของการเคลื่อนไหวนี้ และพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้หยิบเอาเรื่อง “คนที่อยู่ชั้น 14” มาเป็น “พลังหลัก” ในการเรียกร้องความเป็นธรรมเสนอหน้าอย่างจริงจังในเรื่องนิรโทษกรรมนี้ด้วย
เป็นไปได้ไหมที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาเคยคุยกันมาแล้ว และนี่เป็น “ละครฉากหนึ่ง” ที่เล่นตบตีกันแบบเบาะๆ เบาๆ
จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า การเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลในเรื่องนี้ กับการแตะพรรคเพื่อไทยแบบออมมือ ไม่เหมือนสมัยตรวจสอบ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หมกซ่อนอะไรเอาไว้ในเรื่องนี้แค่ไหนเพียงไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี