พื้นฐานของข้อตกลง หลังผู้อำนวยการมอสซาด หรือ สำนักงานข่าวกรองอิสราเอล กลับการเจรจาหารือเรื่องตัวประกันในกรุงวอชิงตัน ผู้อำนวยการข่าวกรองหรือซีไอเอกับผู้อำนวยการมอสซาด อิสราเอลก็ผู้ประสานงานกับซีไอเออย่างใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น ในขณะเดียวกันในกรุงโดฮา นายกรัฐมนตรีโมฮัมเม็ด บิน อับดุลเราะมานแห่งกาตาร์ ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของฮามาส นายอิสะมาเอล ฮานิเยห์ซึ่งเป็นหนึ่งผู้อยู่ในแวดวงการเจรจากล่าวว่าการติดต่อทางโทรศัพท์กับเนทันยาฮู หลายครั้ง นำไปสู่การปล่อยตัวประกันกลุ่มใหญ่ในครั้งนี้ อับดุลเราะมาน กล่าวเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมว่า "ดูเหมือนว่าฮามาสตกลงแน่นอนในการปล่อยตัวประกันหญิงและเด็กจำนวนมาก"
ในเวลานั้น อเมริกากับอิสราเอลก็ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงว่าอิสราเอลควรชะลอการโจมตีภาคพื้นดินไว้หรือไม่ สุดท้าย อเมริกาก็ไม่สามารถโน้มน้าวอิสราเอลได้ ในประเด็นนี้ โดยอิสราเอลกล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีชีวิตอยู่ใดๆของตัวประกันที่ฮามาสอ้างว่ากักขังตัวไว้ อิสราเอลไม่อาจหยุดยิงได้ตราบใดที่ฮามาสไม่เปิดเผยรายชื่อ และข้อมูลตัวประกันทั้งหมดออกมา ฝ่ายฮามาสก็ย้อนกลับว่าฮามาสไม่สามารถเปิดเผยชื่อ และข้อมูลตัวประกันได้จนกว่าอิสราเอลหยุดยิงชั่วคราว
และอาทิตย์ต่อมาสหรัฐก็เทียวไปเทียวมา ระหว่างอิสราเอล อียิปต์ กาตาร์ เพื่อให้เจรจากับฮามาสขอรายละเอียดเกี่ยวกับตัวประกันมากที่สุดเท่าที่ทำได้ สำหรับข้อตกลงปล่อยตัวประกัน พร้อมกับขอให้ฮามาสกำหนดวันเวลา ระเบียงตัวประกันที่ปลอดภัย ตลอดถึงการตรวจตราระหว่างการเดินทางออกมาของตัวประกัน
วันที่ 27 ตุลาคม อิสราเอลเปิดฉากโจมตีกาซ่าทางภาคพื้นดิน เป็นเหตุให้ นายแอนโธนี่ บลิงเคิ่ล รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐต้องบินกลับไปเทลอาวีฟ เพื่อโน้มน้าวกดดันให้อิสราเอลหยุดยิงชั่วคราว บลิงเคิ่ล เรียกประชุมฉุกเฉินกับเนทันยาฮู และรัฐมนตรีมั่นคงอิสราเอล เขาอธิบายชี้แจงถึงความคืบหน้าของความพยายามเจรจาเพื่อปล่อยตัวประกัน แต่หลังการประชุม เนทันยาฮู ประกาศต่อสาธารณว่า "ไม่มีการหยุดยิงจนกว่าตัวประกันทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว" สหรัฐต้องใช้เวลาหลายวันโน้มน้าวและกดดันให้อิสราเอล "ยอมรับการหยุดยิงทางเทคนิค"
เจ้าหน้าที่อาวุโสทำเนียบขาวกล่าวว่าการใช้เวลาสื่อสารเจรจาในเวลานั้นมันช่างเชื่องช้าทรมานเหมือนการถอนฟันกราม การสื่อสารเคลื่อนจากโดฮา ไคโรไปยังฮามาสแล้วย้อนกลับมาเส้นทางเดิม ก่อนถ่ายทอดท่าทีของฮามาสไปให้อิสราเอลและอเมริกา"ทุกขั้นตอนของการสื่อสารนี้มันทรมานเหมือนถอนฟันกราม" เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าว
หลังฉากการเจรจาปล่อยตัวประกันซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ขวางกั้นอิสราเอลจากข้อตกลงในเบื้องต้น เช่น ประเด็นการหยุดยิงเพื่อมนุษย์ธรรมชั่วคราว เจ้าหน้าที่ระดับสูงทำเทียบขาว กล่าวว่า “อิสราเอลไม่ต้องการส่งสัญญาณใดๆว่าโล่งใจที่ได้แลกเปลี่ยนตัวประกันในขณะที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันหลากหลายในเรื่องการแลกเปลี่ยนตัวประกัน" มีการถกเถียงกันระหว่างอิสราเอลกับอเมริกา ซึ่งอิสราเอลยืนกรานว่าผู้หญิงและเด็กๆทั้งหมดต้องได้รับการปล่อยตัวออกมาในขั้นตอนแรกของการปล่อยตัวประกัน แต่ฝ่ายฮามาสยืนยันว่าปล่อยตัวเพียง 50 คนเท่านั่น และปฏิเสธที่จะเปิดเผยรูปพรรณสัณฐานหรือข้อมูลใดๆของตัวประกัน
ถึงจุดนี้ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงสหรัฐเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองกาตาร์ในกรุงโดฮา และหารือกับนายเดวิด.บาร์เนีย ผู้อำนวยการโมสซาดถึงประเด็นที่ฮามาสไม่ให้ข้อมูลใดๆเกี่ยวตัวประกัน และวันที่12พฤศจิกายน ประธานาธิบดีไบเดน แจ้งต่อเอมีร์กาตาร์ว่า "การเจรจาไม่อาจคืบหน้าไปได้โดยปราศจากข้อมูลตัวประกัน"
เจ้าหน้าที่อาวุโสทำเนียบขาวบรรยายว่าการติดต่อทางโทรศัพท์ถี่และตึงเครียดมาก แต่ไม่นานหลังจากนั้นฮามาสก็ยอมผ่อนปรน โดยให้ข้อมูลเพศสภาพ อายุ และสัญชาติตัวประกันซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณว่าฮามาสผ่อนปรนเพื่อปล่อยตัวประกันสตรีและเด็ก 50 คน
ในขณะที่บรรลุข้อตกลงการปล่อยตัว 50 คนที่เป็นสตรีและเด็กๆเท่านั้น เจ้าหน้าที่อเมริกันคาดการณ์และมั่นใจว่า ข้อตกลงครั้งนี้จะเป็นใบเบิกทางให้ปล่อยตัวประกันเพิ่มขึ้นอีกในไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า ยังชาวอเมริกัน 10 คนรวมทั้งเด็กหญิงกำพร้าวัยสามขวบที่ยังไม่ทราบชะตากรรม ซีเอ็นเอ็น สอบถามถึงชะตากรรมของคนอเมริกันเหล่านั้น เจ้าหน้าอาวุโสทำเนียบขาวคนหนึ่งตอบว่า "เราหมายมั่นว่าอเมริกันทุกคนต้องได้กลับบ้าน" และพูดเป็นนัยว่า "มีแรงกระตุ้นมากปลุกเร้าให้ปล่อยตัวประกันทุกคน"
แมตต์ มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า "การปล่อยประกันจากฮามาสจะปลดล๊อคการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมเข้าสู่กาซ่ามากขึ้นอย่างมีนัยยะ"
จอร์น เคอร์บี่ จากสภาความมั่นคงสหรัฐ กล่าวว่า หลังจากได้รับการปล่อยอย่างปลอดภัย ตัวประกันทุกคนจะได้รับการตรวจร่างกายและรับการรักษาในโรงพยาบาลอิสราเอล เขาพูดเป็นนัยว่า อาจต้องใช้เวลาดูแลรักษานานถึงหกสัปดาห์ หลังจากนั้นจะส่งพลเมืองเหล่านั้นกลับประเทศของพวกเขา และติดต่อประสานกับครอบครัวของพวกเขาให้
"สำหรับชาวอเมริกันทุกคนที่ได้รับการปล่อยตัว หลังจากรับการรักษาพยาบาลแล้วสถานกงสุลจะให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น" เจ้าหน้าที่อเมริกันคนหนึ่งกล่าวว่า "อาจใช้เวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมงก่อนที่ประธานาธิบดีไบเดน ยืนยันว่า ตัวประกันอเมริกัน และเด็กหญิงกำพร้าวัยสามขวบได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย"
จะเห็นว่า ตั้งแต่การติดต่อประสานงานเจรจาให้ฮามาสปล่อยประกัน ในการปล่อยตัวประกันหญิงอเมริกัน-อิสราเอลสองคนแรกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม จนถึงวันที่มีข้อตกลงปล่อยตัวประกันหญิงและเด็กอิสราเอล 50 คน รัฐบาลนายไบเดนเป็นผู้วางแผนการสื่อสาร บริหารจัดการเจรจาต่อรองทั้งหมดแต่เพียงฝ่ายเดียว
รัฐบาลเทลอาวีฟ ที่คนอิสราเอลถูกจับเป็นตัวประกันมากที่สุดและเป็นเป้าหมายสำคัญของฮามาส กลับใช้กำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์สร้างเงื่อนขัดขวางการเจรจา จึงเป็นที่สงสัยว่าอเมริกากับอิสราเอล เล่นละครสงครามหรือไม่? โดยรับบทแสดงสองหน้า อิสราเอลรับบทเป็นฝ่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฝ่ายอเมริกันเล่นบทเป็นฝ่ายเจรจาข่มขู่และปลอบใจให้ผู้เสียหายยอมผ่อนปรน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี