l ขอปูพื้นความเข้าใจเบื้องต้น : ด้วยเรื่องราวที่มีสาระเกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ (๓)
ประเด็นเรื่องราวที่สำคัญ ที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
หลักการใหญ่สำคัญ
งาน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นงานร่วมใจร่างกายของทุกฝ่าย โดยในส่วนของนิสิตนักศึกษามีทั้งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย องค์กรอิสระของมหาวิทยาลัย นิสิตนักศึกษา
นักศึกษาครูนักเรียนอาชีวะ และนักเรียนฯ
ความสำเร็จ หรือ ชัยชนะ มาจากทุกฝ่ายทั้งนิสิตนักศึกษา ประชาชน ข้าราชการ และทหารฝ่ายที่เห็นต่างไปจาก ฝ่ายที่เป็นรัฐบาล รวมทั้งสื่อฯนักธุรกิจ และโดยเฉพาะสถาบันหลักที่สำคัญของประเทศ
@ จุดแข็งหลักสำคัญของนักศึกษา คือความบริสุทธิ์ อิสระ จริงใจและจริงจัง ในการทำงานเพื่อบ้านเมือง
ความบกพร่อง มีในทุกกลุ่มทุกฝ่ายด้วยเพราะต่างมีความจำกัด และขาดประสบการณ์กับงานใหญ่ระดับชาติเช่นนี้
ทุกคนทุกฝ่าย ต่างต้องมีสปิริต ความเข้าใจ และยอมรับร่วมกัน
ชัยชนะ ที่เกิดขึ้น หมายถึง “ภาพรวมของฝ่ายนักศึกษาและประชาชน” ทำงานหลักได้ดี จนบรรลุชัยและไม่ควรที่จะใช้หรือเอาเรื่องข้อบกพร่องหรือความขัดแย้ง ความไม่พอใจ ไปขยายความต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นผลดี และเป็นเรื่องที่มิถูกต้องชอบธรรมด้วย (ซึ่งมีบางฝ่ายบางส่วนนำไปใช้ หวังเพิ่มบทบาทฝ่ายตนเอง และด้อยค่าฝ่ายที่เห็นต่างกัน)
๑.ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง “กรรมการศนท. และกลุ่มอิสระต่างๆ ของบางส่วน” ควรเข้าใจเรื่องหลัก คือ เจตนาร่วมที่ดีงาม ของ
ทั้งสองฝ่ายที่คิดและทำเพื่อให้งานส่วนรวมบรรลุตามเป้าหมาย ได้มีการจัดการและการดำเนินงานต่อเหตุการณ์นี้ ในระดับที่ดี ในการแบ่งงานและจัดสรรผู้รับผิดชอบได้มีการแบ่งงาน โดยแบ่งความรับผิดชอบ ออก เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ คือ
หน่วย A เป็นฝ่ายบริหาร ประกอบด้วยกรรมการศนท. ในระดับ นายกสโมสรจากมหาวิทยาลัยต่างๆ
หน่วย B เป็นฝ่ายประสานงานต่างๆ
หน่วย C เป็นฝ่ายเคลื่อนขบวน รักษาความปลอดภัย ข่าวกรอง สวัสดิการฯ และฝ่ายประสานงานการที่ทั้งสองฝ่าย แม้มีความตั้งใจดี มีความรู้ความสามารถสูง (ตามสภาพของนักศึกษาในช่วงนั้น) แต่ก็ยังมีประสบการณ์ไม่มากพออีกทั้ง “ปัญหาและวิกฤตที่เกิดขึ้นใหญ่” เกินความสามารถจะรับมือได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีความพยายามแก้ไขและจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งจากความไม่เข้าใจ ความผิดพลาดและการสร้างประเด็นความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในหมู่เดียวกันจากฝ่ายอื่นจนสามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ ในท้ายสุด
ปัญหา การสื่อสาร ที่อยู่ภายใต้สภาพความจำกัด (ไม่มีโทรศัพท์ และมือถือ ที่จะติดต่อกันได้ทันท่วงที) รวมทั้ง “กรอบความคิดทางการเมือง” อาจจะมีความแตกต่างกันความระแวงและไม่เชื่อใจกัน ก็มีอยู่ จากประสบการณ์และความคิด มุมมองที่ต่างกันโดยเฉพาะ “ต่อการตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้า” ของทั้งสองฝ่าย เช่น
-การที่ฝ่าย ศนท. เข้าพบกับรัฐบาล และมีการหารือ หรือมีข้อตกลงกันบางประการ
-การที่ฝ่ายกุมการเคลื่อนขบวน มีการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปจากที่ตกลง
-รวมทั้งที่ “ฝ่ายกุมการเคลื่อนขบวน” มีการติดตาม และห้ามมิให้ฝ่ายศนท. ขึ้นพูดบนเวที
-และการที่ กรรมการศนท.บางส่วน มีการกล่าวหาในทางรุนแรงต่อผู้นำขบวนฯ
ทำให้เกิดความคลางแคลงใจ และไม่เชื่อใจกันซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดความรุนแรง แบบสะสม ต่อเนื่อง โดยไม่มีการสร้างและปรับความเข้าใจกัน
สุดท้าย คือ “เรื่องของข้อมูลใหญ่ที่ผิดพลาด เช่น กรรมการ ศนท. ชะตาขาดแล้ว” ที่อดีตนายก อมธ.ที่ได้รับข่าวคลาดเคลื่อน แล้วนำไปบอกกับ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดขึ้น ซึ่งเกิดจากการอ่อนประสบการณ์ มิใช่เจตนาที่ไม่ดีต่อกันจึงก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ในช่วงระหว่างการเจรจากับรัฐบาล
@ แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่สุดท้าย “ได้มีเงื่อนไขที่ดี” เปิดโอกาส ให้มีการได้ปรับความเข้าใจกันได้จนทำให้ “งานใหญ่”ประสบความสำเร็จ และจบลงด้วยดี ในช่วงแรก ก่อนมีการประกาศชัยชนะและเลิกการชุมนุม
เรื่องที่มีความแตกต่างกันทางความคิดและวิธีการ เกิดในหลายเหตุการณ์ เช่น
๑.๑ เรื่องที่เกิดขึ้น ในระหว่าง การเคลื่อนการชุมนุมจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาที่สวนจิตรฯ
๑.๒ เรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์ เช้าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ต่อมาถึง วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖
๑.๓ ฯลฯ
แต่การทำงานของศนท. อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกับส่วนอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์จนบรรลุชัยชนะ
สุดท้ายมีการประเมินบทบาทระหว่าง ศนท. กับ กลุ่มอิสระ ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย ได้สรุป “การสัมมนา ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในป่าของอดีตผู้นำนักศึกษา และได้เขียนสรุปว่ามีการนำเสนอข้อเท็จจริงของแต่ละคน และได้สรุปแบบประนีประนอม ว่า
-กลุ่มอิสระ (แต่ละมหาวิทยาลัย ก็มีบทบาทของตน) มีบทบาทเป็นกองจู่โจม เป็นหัวหอก
-ศนท. มีบทบาททางการเมือง สร้างความชอบธรรมกับการชุมนุมและเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ (มีอำนาจตรงต่อนิสิตนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยของตน นายกสโมสรที่เป็นกรรมการฯ)
๒.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเช้า ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หลังจากเลิกการชุมนุม และมีการสลายการชุมนุม
๒.๑ การที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและทุบตีนักศึกษาประชาชน เป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพการณ์
๒.๒ เหตุการณ์ในข้อ ๒.๑ ผู้นำบางส่วนคิดว่าเป็นแผนการของฝ่ายหนึ่งฯ เพื่อก่อให้เกิดความขัดแย้งลุกลามขยายตัวออกไป
ความจริง มีหลายเหตุการณ์ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่พลิกสถานการณ์ ทำให้ฝ่ายพลเอกกฤษณ์มีบทบาทสูงกว่าเหตุการณ์นี้ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง (มิใช่เป็นเหตุการณ์เดียว ) ทหารฝ่ายกฤษณ์และวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์เข้าคุมสวนรื่น ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผู้นำในเหตุการณ์ส่วนหนึ่งให้น้ำหนักว่า “เป็นการสร้างสถานการณ์” โดยมีลักษณะเป็นความเชื่อขาดข้อมูลพลตำรวจเอกวสิษฐเดชกุญชร ที่ให้น้ำหนักไปในข้อ ๒.๑ โดยมีข้อมูลประกอบแต่พิสูจน์ยาก
ข้อมูลที่มีน้ำหนัก คือ อ.ธีรยุทธเข้าไปในสวนรื่น “ได้เห็นพลตำรวจโทมนต์ชัย ถูกคุมตัวโดยพลเอกกฤษณ์”
ฯลฯ
๓.บทบาทและการดำเนินการของ ฝ่ายพลเอกกฤษณ์ สีวะรา พลตรีวิฑูรย์ยะสวัสดิ์ ในเหตุการณ์ ข้อจำกัด : พลเอกกฤษณ์เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผบ.ทบ. เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖
จุดแข็ง :
ฝ่ายนักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมฯ มีลักษณะ “เป็นแนวร่วมใหญ่” ที่ไม่พอใจ “ฝ่ายจอมพลถนอม ประภาสฯ” ตำแหน่ง ผบ.ทบ. เป็นผู้บัญชาการกองทัพบก ที่มีพลังและความเข้มแข็งเหนือกว่ากองทัพอื่นๆ มีเพื่อนสนิทอดีตนายทหารตำรวจที่เคยมียศและบทบาทสูงในการร่วมงานกัน เช่นพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์และมีการร่วมมือกับ พลตรีวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ที่กุมกำลังทหารเสือพรานสองหมื่นกว่านายในลาวฯ
ฯลฯ
ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจ คือ “หากจอมพลถนอมประภาสฯยังอยู่ในตำแหน่งเดิม” ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่และหากเหตุการณ์จบลงไปโดยไม่มีอะไร อาจจะมีการลดบทบาทของพลเอกกฤษณ์ และพวกฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี