ทักษิณ ชินวัตร กับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน มีนิสัยถาวรที่ทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์เหมือนกัน คือ คิดว่าตัวเองมีอิทธิพลบารมีล้นฟ้า เหนือราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ในกัมพูชาต้องยอมรับว่า ฮุนเซนมีอิทธิพลอำนาจบารมีล้นฟ้า แต่สำหรับราชอาณาจักรไทย นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีบารมียังอยู่แค่ขื่อคาน ยังไม่ถึงเพดาน พยายามอย่างไรก็ถึงขอบฟ้าไม่ได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นผู้มีอารยะที่สำนึกว่า “ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างไร”
วันแรกที่นายทักษิณได้รับการพักโทษ สังคมไทยเชื่อว่าทักษิณแสดงตามบทที่ใส่ปลอกคออ่อน ห้อยแขนคล้องคอนั่งรถเบนซ์ ไม่ติดฟิล์มกรองแสง ออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้สมุนบริวารเห็นว่า เขาอยู่ในโรงพยาบาล 180 วัน เพื่อรักษาอาการป่วยปางตาย ที่เกินความสามารถของแพทย์กรมราชทัณฑ์รักษาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องอยู่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจแทนการนอนคุก และวันที่นายทักษิณนั่งรถวีลแชร์คนป่วยไปรายงานตัวต่ออัยการ ทำให้คนจำนวนมากคิดว่าทักษิณเปลี่ยนไป เขาไม่ได้วางตัวเป็นศูนย์กลางอำนาจแล้ว
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่เชื่อว่านายทักษิณป่วยจริง แต่คนส่วนหนึ่งก็พยายามเข้าใจว่าที่เขาสวมปลอกคออ่อน นั่งวีลแชร์ไปพบอัยการนั้น เพื่อเป็นการเซฟ (save) เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่มีส่วนการจัดการให้เขานอนโรงพยาบาลแทนคุก ได้ใช้การแสดงของเขาเป็นหลักฐานในการแก้ต่างทางกฎหมายหากภายหลังหากพวกเขาถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 อย่างน้อยอัยการซึ่งทนายแผ่นดิน อาจยืนยันต่อศาลว่า นายทักษิณมีอาการป่วยขั้นวิกฤตจริง และเมื่อได้พยานปากเอกพูดว่านายทักษิณป่วยหนักอาการปางตายจริง จึงเป็นความชอบธรรมที่กรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายและจรรยาบรรณแพทย์ทุกประการ แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ได้เมื่อพยานคนสำคัญแก้ต่างให้ในกรณีเจ้าหน้าที่ถูกฟ้องศาลแล้ว ดังนั้นคติที่ว่า บ้านจันทร์ส่องหล้า คือ ศูนย์กลางจักรวาล ก็หลุดออกจากปากอุ๊งอิ๊งว่า #อัครมหาเดโชชัยนายฮุนเซน ประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จะมาเยี่ยมไข้บิดาและทานอาหารกลางวันร่วมกันเป็นการส่วนตัว
นายฮุนเซน อดีตเขมรแดงที่ผู้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีนานเกือบสี่ทศวรรษ เขามีอิทธิพลบารมีล้นแผ่นดินล้นฟ้าเหนือราชอาณาจักรกัมพูชา มาพบนายทักษิณ ตามนัด ฮุนเซน ได้โพสต์ภาพขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินพร้อมข้อความ ระบุว่า “ผมกำลังเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมชมวัฒนธรรมของผม คือผู้ทรงคุณวุฒิ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย”
ฮุนเซน ให้คำนิยามการพบนายทักษิณว่า # เยี่ยมชมวัฒนธรรมของผม นั้นเป็นการยืนยันว่าฮุนเซนกับทักษิณมีวัฒนธรรมความเป็นอำนาจนิยมที่ถือว่าตัวข้าคือศูนย์กลางอำนาจผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์เหนือพิธีการทูตใดๆ เสมอกัน
ฮุนเซน ซึ่งเคยมาก่นด่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีไทยในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนที่ชะอำในปี 2552 ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้พิธีทางการทูตถือว่าต่ำช้ามาก นายฮุนเซน มีพฤติกรรมคล้ายๆกับนายทักษิณที่ไปพูดโจมตีประธานองคมนตรีแบบตีวัวกระทบคราดมาถึงสถาบันในประเทศออสเตรเลียปี 2550 นอกจากนั้นนายทักษิณยังให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ที่เกาหลีใต้ในปี 2558 จนกองทัพไทยฟ้องในความผิดมาตรา 112 เป็นคดีที่อัยการสูงสุดกำลังพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในเดือนเมษายนนี้
พฤติกรรมที่เหมือนกันคือเมื่อไหร่ก็ตามที่จัดสรรผลประโยชน์ลงตัวกันได้ ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมร่วมมือกันแม้แต่การทำลายประเทศของอีกฝ่าย สองสหายบาดหมางกันในปี 2540 เมื่อข้อครหาว่าทักษิณมีส่วนสำคัญในการใช้กำลังหวังโค่นล้ม ฮุนเซน มีข่าวหนาหูตอนนั้นว่า หลังจากทหารฮุนเซนปราบขบถลงได้อดีตตำรวจไทยยศพันโทสองนายเผ่นหนีกลับบ้านทิ้งรอยแค้นไว้ในใจ ฮุนเซน
ปี 2546 ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี มีข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจที่ได้ผลประโยชน์จากการลงทุนในกิจการสื่อสารของคนไทยไม่มากเท่าที่อยากได้ประกอบกับรอยแค้นจากการปราบขบถฝังใจ สมุนบริวารของฮุนเซน อ้างว่า น.ส.สุวนันท์ คงยิ่ง ดาราทีวีคนดังของไทย พูดว่า “นครวัดเป็นของไทย” จากข่าวลือที่ปราศจากความจริง แต่มวลชนเขมรบ้าคลั่งบุกเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ เจ้าหน้าที่สถานทูต ต้องหนีตายไปทางลำคลองหลังสถานทูต ผู้บัญชาการทหารบกไทย ต้องส่งทหารไปกับเครื่องบิน C-130 เพื่อคุ้มกันการขนคนไทยหลายร้อยคนกลับบ้าน
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดอยู่กว่าสามปี จนกระทั่งรัฐบาลไทยรักไทยถูกยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 มีข่าวลือว่า ผู้เสียอำนาจมองกำลังติดอาวุธในกัมพูชา เป็นหนึ่งในเป้าหมายให้ช่วยยึดอำนาจคืนและ หลังจากถูกยึดอำนาจทักษิณเร่ร่อนก่นด่าประเทศไทยลามปามไปถึงสถาบันฯอยู่นานสองปี จนกระทั่งพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทักษิณ ตั้งขึ้นแทนพรรคไทยรักไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปชนะการเลือกตั้งในปี 2550 นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่นั้นมารัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา กลับมาแนบแน่นกันใหม่ถึงขนาดนายนพดล ปัทมะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ คนที่ทักษิณไว้วางใจลงนามในหนังสืออนุญาตให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว
นายทักษิณ ซึ่งกลับมาจูบแผ่นดินไทยได้ห้าเดือนกว่าในระหว่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณกับฮุนเซน ก็แน่นปึ้กบึ้ก จนกระทั่งใกล้ถึงวันที่ศาลนัดตัดสินคดีที่ดินรัชดานายทักษิณขออนุญาตศาลไปชมกีฬาโอลิมปิกในกรุงปักกิ่งและกลับประเทศเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566
และระหว่างที่ทักษิณเร่ร่อนก่นด่าประเทศไทยอยู่นอกประเทศนั้น การเมืองภายในพลิกผันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกจากสภาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แทนพรรคพลังประชาชน ตั้งแต่นาทีแรกที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ถูกตามล้างตามผลาญจากคนเสื้อแดงที่เป็นสมุนบริวารทักษิณและมีรายงานว่ามีกองกำลังติดอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้านร่วมอยู่ในขบวนการสร้างความรุนแรงของแดงทั้งแผ่นดินรวมทั้งการเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553
และระหว่างที่เสื้อแดงกับกองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านตามล้างตามผลาญรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน แห่งกัมพูชาก็แต่งตั้งทักษิณ ชินวัตรเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจในปีเดียวกัน ซึ่งมีรายงานว่าขณะที่กองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านร่วมก่อความรุนแรงกับขบวนการแดงทั้งแผ่นดินนั้น นายทักษิณเทียวไปเทียวมาประเทศกัมพูชาพร้อมๆกับคนเสื้อแดงแห่ไปคารวะ ฮุนเซน เป็นระยะๆ ความสัมพันธ์ของฮุนเซน-ทักษิณพัฒนาจากความเกื้อกูลซึ่งกันและกันจนถึงความสัมพันธ์เครือญาติ ที่เป็นเขยเป็นสะใภ้มีลูกหลานชมเชยร่วมกัน
ดังนั้น การพบกันของสองผู้นำที่มีคติว่าตัวข้าคือศูนย์กลางอำนาจ ได้สร้างความกังวลใจให้หลายฝ่าย แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวว่า “การมาของฮุนเซน สร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย แน่นอนนั่นเป็นเรื่องไกลตัวของคนทั่วไป..แต่สิ่งที่น่ากังวลคือเรื่องจัดการผลประโยชน์ร่วมกันจากพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน” แหล่งข่าวกล่าว และอธิบายว่า ฮุนเซน ร้อนใจมากที่การมาเยือนไทยของฮุน มาเนตบุตรชายไม่มีความคืบหน้าใดๆเรื่องจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์จากพลังงานบนพื้นที่ทับซ้อนในทะเลอ่าวไทย“ฮุนเซนเชื่อว่าพูดกับทักษิณโดยตรงง่ายกว่า”นอกจากนั้นดังที่รู้กันว่า ฮุนเซน เป็น China’s man ส่วนลูกชายเรียนมาจากอเมริกา/อังกฤษแน่นอนเอนเอียงไปทางตะวันตก ฮุนเซนคงอยากฟังจากทักษิณว่าจะเลือกฝ่ายไหนแน่ แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า บางทีเรื่องปลีกย่อยเกี่ยวกับสมุนบริวารของทักษิณที่อยู่ในอุปถัมภ์ของฮุนเซนมานานปีถึงวันนี้เจ้านายพวกเขากลับบ้านแล้วจะให้ฮุนเซนดูแลต่อไปหรือให้กลับมาอยู่กับเจ้านายพวกเขา “พวกหัวโจกหนีคดี 112 ไปตั้งสถานีวิทยุล้มเจ้าอยู่ในกัมพูชาทั้งนั้น” แหล่งข่าวกล่าวสรุป
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในหน่วยงานมั่นคงกล่าวว่า ทักษิณเมื่อกลับมาอยู่ในประเทศไทยไม่สามารถเคลื่อนไหวสั่งการอะไรได้เหมือนตอนอยู่ดูไบและมีเงื่อนไขในข้อตกลงกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกรัดคอเขาอยู่“อย่าลืมว่าทักษิณไม่ได้มีอิทธิพลล้นฟ้าเหมือนฮุนเซน ดังนั้น การแสดงบทศูนย์กลางของอำนาจครั้งนี้เพียงเพื่อเอาใจ ฮุนเซน และ ปลุกใจสมุนบริวารเท่านั้น “เรื่องผลประโยชน์ชาติที่คาบเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนเป็นเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายมั่นคงยอมไม่ได้”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี