ในบรรดาพระสมเด็จทุกสายทุกรุ่นนั้น ต้องถือว่าพระสมเด็จไกเซอร์เป็นพระสมเด็จที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศมากที่สุด และความจริงพระสมเด็จไกเซอร์ไม่ใช่พระสมเด็จสายวัด แต่เป็นพระสมเด็จสายวัง ที่ริเริ่มคิดอ่านสร้างขึ้นเพื่อความสมบูรณ์หรือบูรณาการแห่งความเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
เป็นธรรมเนียมของสมเด็จพระมหากษัตริย์กรุงสยามที่จะทรงมีพระตำแหน่งหลักประการหนึ่งคือตำแหน่งเอกอัครศาสนูปถัมภก และต้องเป็นพุทธมามกะ เป็นกฎเกณฑ์ทางราชนิติและราชประเพณีที่บังคับสมเด็จพระมหากษัตริย์ต้องนับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งประการนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ก็ทรงทราบเป็นอย่างดี
และทรงทราบเป็นอย่างดีด้วยว่าแม้ว่าประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธหรือเป็นเมืองของพระพุทธศาสนา กระทั่งถือว่าเป็นเมืองหลวงของพระพุทธศาสนาก็ได้ แต่แท้จริงไม่มีความสมบูรณ์ สู้ศาสนาอิสลามก็ยังไม่ได้ แม้ศาสนาคริสต์ก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะทั้งศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ซึ่งมีนิกายอยู่หลายนิกายต่างก็มีนิกายย่อยเกือบจะครบถ้วนในประเทศไทย
แต่พระพุทธศาสนากลับขาดวิ่นแหว่ง ซึ่งบรรดาผู้รู้ทั้งหลายก็เชื่อว่าเป็นอาเพศที่เป็นเหตุให้เกิดความไม่ปกติ ไม่ลงตัว และความไม่สมบูรณ์ขึ้นในประเทศไทยหลายประการ เพราะประเทศไทยไม่มีพระพุทธศาสนานิกายวชิรยาน
อันพระพุทธศาสนาของเรานั้น ถ้านับนิกายใหญ่ก็ต้องนับว่ามีสามนิกาย คือหินยาน มหายาน และวชิรยาน โดยนิกายหินยานนั้นเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอุษาคเนย์หรือเอเชียอาคเนย์ ส่วนมหายานนั้นเจริญรุ่งเรืองอยู่ในจีนและเอเชียตะวันออก รวมทั้งญี่ปุ่นและเกาหลี ในขณะที่นิกายวชิรยานนั้นเจริญรุ่งเรืองอยู่ในภาคตะวันตกของจีนคือทิเบต และแตกสาขาย่อยออกเป็น นิกายเซ็น ในญี่ปุ่น
ประเทศไทยไม่มีนิกายวชิรยาน และบรรดาเหล่าผู้รู้ทั้งหลายล้วนมีความปรารถนาที่จะอัญเชิญพระพุทธศาสนานิกายวชิรยานมาประดิษฐานในประเทศไทยเพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ของนิกายทั้งหลายในพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จเพราะไม่มีหนทางติดต่อจำเริญไมตรีเพื่อเชิญนิกายวชิรยานมาจากทิเบตได้ เรื่องก็ยังค้างคาตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
สำหรับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อครั้งออกผนวชพระอุปัชฌาย์ได้ตั้งพระนามว่าพระวชิรญาณภิกขุ ซึ่งมีความหมายคลุมไปถึงนิกายวชิรยานด้วย และเป็นต้นธรรมเนียมของความพยายามที่จะแก้เคล็ดว่าประเทศไทยมีนิกายวชิรยานสมบูรณ์แล้ว โดยตั้งฉายาหรือสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมาให้มีพระนามว่าวชิร แฝงอยู่โดยทั่วไป เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หรือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นต้น
แม้กระทั่งในรัชกาลปัจจุบันก็มีพระราชนิยมถวายสมณศักดิ์แก่พระภิกษุโดยราชประเพณีดังกล่าวเป็นอันมาก คือพระสงฆ์จำนวนมากที่ได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์จะมีคำว่าวชิร อยู่ในสมณศักดิ์เป็นจำนวนมากรูป
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชสมบัติก็เป็นช่วงเวลาที่นิกายมหายานในพระพุทธศาสนาแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมากขึ้นตามจำนวนนักธุรกิจชาวจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมาก และมีการสร้างวัดจีนขึ้นหลายวัด และพระอรหันต์ฝ่ายจีนนั้นก็มีพระอรหันต์รูปหนึ่งเป็นที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์และเป็นพระโพธิสัตว์ด้วย ท่านมีรูปลักษณะอ้วนท้วนพุงพลุ้ย ศีรษะใหญ่ โล้น หน้าอกใหญ่
ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองสิริราชสมบัติ สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง จึงมีดำริให้สร้างพระสมเด็จรุ่นพิเศษขึ้นรุ่นหนึ่งโดยใช้คติมหายาน เพื่อแก้เคล็ดความไม่สมบูรณ์ในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยถือรูปแบบพระอรหันต์องค์ดังกล่าวนี้เป็นต้นแบบ ซึ่งกรมช่างสิบหมู่ได้ออกแบบเป็นรูปพระคล้ายพระประธาน แต่มีศีรษะใหญ่ อกใหญ่ พุงใหญ่ หรือที่เรียกว่าเศียรบาตรอกครุฑ
ในครั้งแรกนั้นได้สร้างขึ้นจำนวน 42 องค์ในจำนวน 42 องค์นี้ทำจากหยก 3 องค์ นอกนั้นทำจากผงศักดิ์สิทธิ์ทั้งของวัดระฆังและของวังหลวงที่สะสมกันมา โดยที่เป็นหยกนั้นใช้หยกจากฐานพระแก้วมรกตที่ปริแตกออกมาเมื่อครั้งสร้างเครื่องทรงทองคำในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
หยกที่ปริออกมานั้นแกะได้เป็นพระ 3 องค์ดังนั้นจึงมีพระผงอีก 39 องค์ รวมแล้วเป็น 42 องค์ จัดเป็นพระสายวังหลวงที่สร้างขึ้นเฉพาะพิเศษ โดยเชื่อมโยงไปกับการแก้อาเพศความไม่สมบูรณ์ของนิกายในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเพราะความพิเศษดังกล่าวนี้จึงนิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาปลุกเสกเป็นการเฉพาะที่กระทรวงวัง
สำหรับพระสมเด็จรุ่นนี้ที่เป็นเนื้อหยกนั้นจะพระราชทานแก่ผู้ใดบ้างไม่ปรากฏ แต่มีการถวายที่เป็น
เนื้อผงให้แก่เจ้าประคุณสมเด็จ 1 องค์ หรือ 3 องค์ไม่แน่ชัด
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จวัดระฆังในงานถวายผ้าพระกฐิน เจ้าประคุณสมเด็จก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระรุ่นนี้ที่เป็นเนื้อผงองค์หนึ่งแก่พระเจ้าอยู่หัว แล้วทูลว่าในวันข้างหน้ามหาบพิตรจะเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้น เจอผู้คนแปลกหน้าแปลกตามาก ให้มหาบพิตรนำพระองค์นี้ติดตัวไปด้วย ซึ่งน่าจะเป็นพระที่เจ้าประคุณสมเด็จตั้งใจปลุกเสกเป็นการเฉพาะ โดยมีอนาคตังสญาณทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในภายภาคหน้า เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระประจำพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อได้รับถวายพระองค์นี้แล้วก็ได้พกพาติดพระองค์อยู่เสมอ ว่ากันว่าเมื่อครั้งเสด็จไปมณฑลปักษ์ใต้ไปสักการะศาลหลักเมืองสงขลาซึ่งเป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจังหวัดสงขลา พระองค์ก็ทรงพกพาพระสมเด็จองค์นี้ไปด้วย จนกล่าวได้ว่าพระสมเด็จรุ่นนี้องค์นี้คือพระประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี